รอบรู้เรื่องมงคลสูตรคำฉันท์ วรรณคดีพระพุทธศาสนาที่มาของหลักมงคล 38

มงคลสูตร

สารบัญ

Add LINE friends for one click to find article. Add LINE friends for one click to find article.

บทนำ

 

สวัสดีน้อง ๆ ทุกคนกลับมาพบกับบทเรียนภาษาไทยที่น่าสนใจอีกเช่นเคย สำหรับเนื้อหาวันนี้เราจะขอหยิบยกวรรณคดีพระพุทธศาสนามาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกันบ้าง ซึ่งวรรณคดีที่เราได้เลือกมานั่นก็คือเรื่อง
มงคลสูตรคำฉันท์ เชื่อว่าน้อง ๆ มัธยมปลายหลายคนคงจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว เพราะเป็นวรรณคดี
ที่สอนบรรทัดฐานของการกระทำความดีตามวิถีของชาวพุทธ และเป็นที่มาของหลักมงคล
38 ประการด้วย ดีงนั้น เดี๋ยววันนี้เราจะพาน้อง ๆ ไปรู้จักกับวรรณคดีเรื่องนี้ให้มากขึ้น ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวเข้าสู่เนื้อหากันได้เลย

 

มงคงสูตรคำฉันท์

 

ประวัติความเป็นมา เรื่อง มงคสูตรคำฉันท์

 

ก่อนที่เราจะไปดูตัวบทของเรื่อง มงคลสูตรคำฉันท์ สิ่งที่เราควรต้องรู้ก็คือเรื่อง ประวัติความเป็นมาเพื่อให้เราเข้าใจทั้งภูมิหลัง และความสำคัญของวรรณคดีเรื่องนี้ได้อย่างดี สำหรับผู้ที่แต่งเรื่องมงคลสูตรคำฉันท์ขึ้นมานั่นก็คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2466 ซึ่งเดิมทีพระองค์ทรงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงคิดหาหนทางที่จะทำให้ประชาชนได้ตระหนักถึงการทำความดีมีศีลธรรม ด้วยความเชื่อที่ว่าสิริมงคลจะเกิดกับตัวเราได้ก็ขึ้นอยู่กับผลจาก
การกระทำของตัวเราเองทั้งสิ้น โดยรัชกาลที่ 6 ทรงนำหลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคาถาภาษาบาลีอย่างอุดมมงคล หรือมงคลสูตรมาแปลความแล้วนำมาแต่งเป็นบทร้อยกรองตามบังคับฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์ประเภทนั้นได้อย่างไพเราะ โดยที่ความหมายไม่ผิดเพี้ยนไปจากในภาษาบาลีเลย แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยะภาพทางภาษา และการแต่งคำประพันธ์ของรัชกาลที่ 6 ได้เป็นอย่างดี

 

มงคงสูตรคำฉันท์

 

เรื่องย่อที่มาของมงคลสูตรคำฉันท์

 

เดิมที ‘มงคลสูตร’ เป็นคำสอนที่ได้รับการจารึกไว้ในพระไตรปิฎกตามรูปแบบคาถาภาษาบาลี แต่ต่อมารัชกาลที่ 6 ทรงนำมาแปลความแล้วแต่งเป็นร้อยกรองจนเกิดเป็นมงคลสูตรคำฉันท์ หรือที่หลายคนรู้จักกันว่าเป็นที่มาของหลักมงคล 38 ประการ โดยเรื่องราวในวรรณคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งพุทธกาลที่พระอานนท์ได้มาเทศนาเนื่องในโอกาสสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 1 พระอานนท์ได้เล่าถึงพระสัมมาสัมพุทธเมื่อครั้งที่มีเหล่าเทวดาลงมาขอให้พระองค์ช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องมงคล เพราะเหล่าเทวดาทั้งหลายกำลังทะเลาะกันเรื่องหลักมงคลที่แต่ละศาสนามีความเชื่อ และความเข้าใจแตกต่างกัน ทำให้เหล่าเทวดานั้นเกิดการขัดแย้งกันเอง และหาจุดคลี่คลายไม่ได้มานานกว่า 12 ปี จึงอยากให้พระพุทธเจ้าช่วยเทศนาเทวดาเหล่านี้ให้เข้าใจร่วมกัน พระพุทธเจ้าจึงได้ขึ้นไปเทศนามงคล 38 ประการให้เหล่าเทวดาได้ฟัง ซึ่งหลังจากเทศนาจบเหล่าเทวดา
ก็เกิดบรรลุธรรม และได้นำมงคลสูตรนี้ไปเผยแพร่
ในเวลาต่อมาพระพุทธเจ้าจึงได้นำเรื่องการเทศนาครั้งนี้
มาเล่าให้พระอานนท์ฟังเพื่อหวังให้พระอานนท์นำมงคลสูตรทั้ง 38 ประการนี้ไปเทศนา และเผยแพร่ต่อไป
ให้ผู้คนได้ยึดถือปฏิบัติอันจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญในชีวิตนั่นเอง

 

มงคงสูตรคำฉันท์

 

ลักษณะคำประพันธ์ เรื่อง มงคลสูตรคำฉันท์

 

ในส่วนของลักษณะคำประพันธ์ในวรรณคดีเรื่อง มงคลสูตรคำฉันท์ อย่างที่ได้บอกไปว่าด้วยพระอัจฉริยะภาพของรัชกาลที่ 6 แล้วพระองค์ได้เลือกใช้คำประพันธ์ในการแต่งเรื่องนี้ถึง 2 ชนิด ได้แก่ กาพย์ฉบัง 16 และอินทร์วิเชียรฉันท์ 11 ซึ่งเป็นรูปแบบคำประพันธ์ที่มีทั้งการบังคับสัมผัสคำคล้องจอง และการกำหนดเสียงสั้น เสียงยาวเพื่อให้เกิดความไพเราะ อีกทั้งแต่ละบทจะมีลักษณะพิเศษ คือ จบด้วยข้อความที่กล่าวว่า “ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี” โดยเป็นข้อความที่แปลมาจากคาถาภาษาบาลี (เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ) ดังนั้น เพื่อให้น้อง ๆ เข้าใจมากขึ้นเดี๋ยวเราจะมาทำความรู้จักกับรูปแบบของคำประพันธ์ทั้ง 2 ชนิดนี้กัน

 

กาพย์ฉบัง16

 

กาพย์ฉบัง 16

ในส่วนของลักษณะคำประพันธ์ชนิดแรกคือ กาพย์ฉบัง 16 ลักษณะของกาพย์ชนิดนี้ 1 บท จะมีเพียงแค่
3 วรรค แต่ละวรรคจะมีการกำหนดจำนวนคำ ดังต่อไปนี้

  •  วรรคสดับ (วรรคแรก) มีจำนวน 6 คำ
  •  วรรครับ (วรรคสอง) มีจำนวน 4 คำ
  •  วรรคส่ง (วรรคสาม) มีจำนวน 6 คำ

การสัมผัส

  • สัมผัสระหว่างวรรค คำสุดท้ายของวรรคแรกต้องสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคสอง
  • สัมผัสระหว่างบท คำสุดท้ายของวรรคสามต้องสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคแรกในบทต่อไป
    จากนั้นก็จะใช้สัมผัสเหมือนเดิมไปเรื่อย ๆ จนจบ ซึ่งลักษณะการอ่านกาพย์ฉบัง16 จะแบ่งคำแบบ
    2-2-2 

 

อินทรวิเชียรฉันท์11

 

อินทรวิเชียรฉันท์ 11

คำประพันธ์ในรูปแบบนี้จะมีลักษณะที่ยากขึ้นมาในอีกระดับหนึ่ง เนื่องจากต้องใช้การกำหนดคำครุ คำลหุ หรือเสียงหนัก – เบา ในแต่ละวรรค โดยใน 1 บทจะประกอบไปด้วย 2 บาท และใน 1 บาทก็จะมี 2 วรรค ในแต่ละวรรคก็จะกำหนดให้มีจำนวนคำ ดังต่อไปนี้

  • วรรคหน้าจำนวน 5 คำ
  • วรรคหลังจำนวน 6 คำ

นอกจากในส่วนของการกำหนดจำนวนคำแล้วสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของการแต่งคำประพันธ์แบบ อินทรวิเชียรฉันท์ 11 ก็คือการกำหนดคำครุ คำลหุ หรือคำหนัก – เบา ซึ่งเราจำเป็นจะต้องจำตำแหน่งของ
คำครุ คำลหุให้ดี เพื่อการสัมผัสที่คล้องจอง และถูกต้องตามหลัก

คำครุ

คำที่ประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา หรือคำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นหรือยาวก็ได้แต่ต้องมีตัวสะกดตามมาตราตัวสะกด ได้แก่ กก กด กบ กม กน กง เกย เกอว หรือเป็นคำที่ประสมด้วยสระ อำ ไอ ใอ เอา ซึ่งถึอได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในเสียงที่มีตัวสะกดเช่นกัน โดยจะแทนด้วยไม้หันอากาศ ( -ั )

คำลหุ

คำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา หรือไม่มีตัวสะกด รวมไปถึงคำที่ใช้พยัญชนะคำเดียว เช่น ก็ บ่ ณ ธ โดยจะแทนด้วยสระอุ ( -ุ )

การสัมผัส

  • คำครุตัวสุดท้ายของวรรคหน้าไปสัมผัสกับคำครุตัวที่ 3 ของวรรคหลัง
  • คำครุตัวสุดท้ายของวรรคหลังไปสัมผัสกับคำครุตัวสุดท้ายในวรรคหน้าของบาทที่ 2
  • คำครุตัวสุดท้ายในวรรคหลังของบาทที่ 2 จะไปสัมผัสกับคำครุตัวสุดท้ายในวรรค 2 ของบทถัดไป

** แนะนำให้น้อง ๆ ดูรูปภาพประกอบไปด้วยเพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

 

บทส่งท้าย

 

เป็นอย่างไรกันบ้างหลังจากที่น้อง ๆ ได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมา ลักษณะคำประพันธ์ และเรื่องย่อของวรรณคดีเรื่องมงคลสูตรคำฉันท์ไป ช่วยให้เข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า จริง ๆ ต้องบอกว่าเนื้อหาของวันนี้ยังมีอีก ซึ่งในส่วนต่อไปเราจะพาน้อง ๆ ไปดูตัวบทที่น่าสนใจจากเรื่องมงคลสูตรคำฉันท์กัน เราจะได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดวรรณคดีเรื่องนี้ถึงได้รับการยกย่องว่าสามารถแต่งออกมาได้อย่างไพเราะมาก ๆ สำหรับเนื้อหาวันนี้
ถ้าน้อง ๆ คนไหนอยากจะทบทวน หรือศึกษาเพิ่มเติมสามารถดูคลิปการสอนของครูพี่อุ้มที่ด้างล่างนี้ได้เลยรับรองว่าทั้งสนุก และได้ความรู้ไปเต็มที่แน่นอน

 

NockAcademy คือโรงเรียนออนไลน์สำหรับเด็ก โดยแอปฯ และเว็บไซต์ นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย
มากไปกว่านั้น เรายังมีคอร์สเรียนออนไลน์ การสอนพิเศษ การติวนอกสถานที่โดยติวเตอร์ที่แน่นไปด้วยความรู้ อีกด้วย

Add LINE friends for one click to find article. Add LINE friends for one click to find article.
ครูผู้สอน NockAcademy

แค่ 10 นาที ก็เข้าใจได้

สามารถดูคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่มีมากกว่า 2,000+ คลิป และยังสามารถทำแบบทดสอบที่มีมากกว่า 4000+ ข้อ

แนะนำ

แชร์

M3 Past Passive

Past Passive คืออะไร

Hi guys! สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นม.3 ทุกคน วันนี้เราจะไปเรียนรู้เรื่อง Past Passive กันค่ะ ก่อนอื่นจะต้องไปรู้ความหมายกันก่อนน๊าว่ามันคืออะไร พร้อมแล้วก็ไปลุยกันโลด   Past Passive คืออะไร   Past หมายถึง อดีต ส่วน Passive มาจากโครงสร้างของ Passive voice (ประโยคที่ประธานถูกกระทำ เน้นกรรม) เมื่อนำมารวมกันแล้วPast

สัดส่วน

บทความนี้ได้รวบรวมความรู้เรื่อง สัดส่วน รวมทั้งโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสัดส่วน ซึ่งได้รวบรวมเนื้อหาและเขียนอธิบายไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมีคลิปวิดีโอการสอน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับน้องๆ สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ก่อนจะเรียนรู้เรื่องสัดส่วนนั้น น้องๆจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่อง อัตราส่วนของจำนวนหลายๆจำนวน สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่  ⇒⇒ อัตราส่วนของจำนวนหลายๆจำนวน ⇐⇐ สัดส่วน สัดส่วน คือ ประโยคที่แสดงการเท่ากันของอัตราส่วนสองอัตราส่วน อัตราส่วนทั้งสองมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันหรือในทิศทางตรงกันข้ามก็ได้ ชนิดของสัดส่วน สัดส่วนมี 2 ชนิด คือ สัดส่วนตรง และ สัดส่วนผกผัน  

สมบัติการบวกจำนวนจริง

สมบัติการบวกจำนวนจริง สมบัติการบวกจำนวนจริง เป็นสมบัติที่น้องๆต้องรู้ เพราะเป็นรากฐานของวิชาคณิตศาสตร์และน้องๆจะต้องใช้สมบัติพวกนี้ในการเรียนคณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้น สมบัติการบวกของจำนวนจริง มีทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้   1.) สมบัติปิดการบวก  สมบัติปิดการบวก คือ การที่เรานำจำนวนจริง 2 ตัวมาบวกกัน เราก็ยังได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนจริงเหมือนเดิม เช่น 1 + 2 = 3 จะเห็นว่า

ภาษาชวา มลายู ในภาษาไทย มีลักษณะอย่างไร?

น้อง ๆ สงสัยกันไหมคะว่าในภาษาที่เราใช้พูดและใช้เขียนกันอยู่นี้ มีคำไหนบ้างที่ถูกหยิบยืมมาจากต่างประเทศ บทเรียนภาษาไทยในวันนี้จะพาน้อง ๆ ไปทำความรู้จักและศึกษาลงลึกถึงภาษาชวาและมลายู เป็นอีกหนึ่งภาษาที่เข้ามามีอิทธิพลกับภาษาไทยมาตั้งแต่สมัยอดีต ถ้าพร้อมแล้วเราไปเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยกันเลยค่ะ   ความเป็นมาของการยืมคำจากภาษาชวา มลายู     ทางตอนใต้ของประเทศไทยติดต่อกับประเทศมาเลเซีย จึงทำให้มีการติดต่อค้าขายสานสัมพันธ์ไมตรีกันมาตั้งแต่สมัยอดีต โดยเดิมทีชาวชวาและชาวมลายูเคยใช้ภาษามลายูร่วมกัน ต่อว่าชาวชวามีภาษาเป็นของชนชาติตัวเอง แต่ก็ยังมีบางคำที่คล้ายคลึงกับภาษามลายูอยู่ 1. คำยืมภาษาชวา เพราะอิทธิพลของวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลายเรื่องดาหลังและอิเหนา วรรณคดีเรื่องนี้เป็นที่นิยมถูกนำมาปรับปรุงและประพันธ์เป็นบทละคร โดยในเรื่องมีภาษาชวาอยู่เยอะมาก ทำให้เป็นที่รู้จักและถูกหยิบยืมมาใช้ในการประพันธ์เรื่อยมา

ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม เช่นเดียวกับการลบเศษส่วนและจำนวนคละ!

บทความที่แล้วเราได้กล่าวถึงการบวกเศษส่วนและจำนวนคละไปแล้ว บทต่อมาก็จะเป็นเรื่องของการลบเศษส่วนและจำนวนคละ ทั้งสองเรื่องนี้มีหลักการคล้ายกันต่างกันที่เครื่องหมายที่บ่งบอกว่าโจทย์ต้องการทราบอะไร ดังนั้นบทความนี้จะอธิบายถึงหลักการลบเศษส่วนและจำนวนคละอย่างละเอียดและยกตัวอย่างให้น้อง ๆเข้าใจอย่างเห็นภาพและสามารถนำไปปรับใช้กับแบบฝึกหัดเรื่องการลบเศษส่วนและจำนวนคละได้

คุณค่าในเรื่องพระอภัยมณี มีอะไรบ้าง?

หลังจากที่บทเรียนคราวที่แล้วเราได้เรียนเรื่องประวัติความเป็นมาของวรรณคดีเรื่องสุนทรภู่ไปแล้ว วันนี้เราจะพาน้อง ๆ ไปเรียนรู้ถึง คุณค่าในเรื่องพระอภัยมณี ว่ามีคุณค่าด้านใดบ้าง เพื่อที่น้อง ๆ จะได้รู้เหตุผลว่าทำไมวรรณคดีเรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องที่โด่งที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่ เป็นวรรณคดีที่ดังข้ามเวลาและอยู่ในแบบเรียนภาษาไทย ถ้าพร้อมแล้วเราไปเรียนรู้เรื่องนี้พร้อมกันเลยค่ะ   คุณค่าในเรื่องพระอภัยมณี     คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์   พระอภัยมณีเป็นเรื่องมีรสทางวรรณคดีคือเสาวรจนีย์และสัลปังคพิสัย ดังนี้ เสาวรจนีย์ เป็นบทชมโฉมหรือความงาม พบในตอนที่พระอภัยชมความงามของนางเงือก     2.

โลโก้ NockAcademy

ทดลองฟรี!

เข้าใจได้ทันที NockAcademy ไลฟ์สดอันดับ 1 

โลโก้ NockAcademy

ทดลองฟรี!

เข้าใจได้ทันที NockAcademy ไลฟ์สดอันดับ 1