น้อง ๆ หลายคนคงจะเคยสับสนและมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประโยคในภาษาไทยกันมาไม่มากก็น้อย ทำไมอยู่ดี ๆ เราถึงไม่เข้าใจประโยคภาษาไทยที่พูดกันอยู่ทุกวันไปได้นะ? แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ บทเรียนภาษาไทยในวันนี้จะพาน้อง ๆ กลับไปทบทวนเกี่ยวกับเรื่องประโยคอีกครั้ง พร้อมเรียนรู้เคล็ดลับการสังเกตประโยคง่าย ๆ จะเป็นอย่างไร ไปดูพร้อมกันเลยค่ะ
ความหมายของประโยค
ประโยค เป็นหน่วยทางภาษาที่เกิดจากการนำคำหลาย ๆ คำ หรือกลุ่มคำ มาเรียงต่อกันอย่างเป็นระบบ มีความสัมพันธ์กัน มีหน้าที่สื่อความหมายให้สมบูรณ์
โครงสร้างของประโยคในภาษาไทย
ประโยคที่สมบูรณ์ จะประกอบไปด้วยภาคประธานและภาคแสดง โดยที่ภาคประธาน จะหมายถึงผู้กระทำเป็นส่วนสำคัญของประโยค อาจมีบทขยายมาทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนภาคแสดงจะประกอบไปด้วยกริยา กรรม และส่วนเติมเต็ม ทำหน้าที่เป็นตัวกระทำหรือผู้ถูกกระทำของภาคประธาน ทำให้ประโยคมีความสมบูรณ์มากขึ้น
วิธีสังเกต ประโยคในภาษาไทย
ประโยคความเดียว
ประโยคความเดียว เป็นประโยคที่มุ่งกล่าวถึงประโยคใดประโยคหนึ่ง มีใจความสำคัญเพียงแค่หนึ่งใจความ โดยที่ภาคประธานอาจจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของก็ได้ แต่สิ่งนั้นจะต้องแดงกิริยาอาการอยู่ในสภาพเดียว
แต่ทั้งนี้ ไม่ได้ความหมายประโยคความเดียวจะต้องมีกริยาเพียงแค่ 1 เท่านั้นนะคะ เพราะในความเป็นจริง ก็มีประโยคความเดียวที่มีกริยา 2 ตัวเช่นกัน เพียงแต่ว่าหลักสำคัญของประโยคความเดียวคือต้องมีใจความเพียง 1 ใจความ ดังนั้นประโยคนั้นจะต้องมีกริยาหลัก 1 ตัว แต่จะมีกริยารองกี่ตัวก็ได้
ตัวอย่าง มานีชอบไปโรงเรียน ประโยคความเดียวนี้มีกริยาหลัก 1 ตัว คือ คำว่า ชอบ ส่วนกริยาคำว่า ไป เป็นกริยารอง เพราะใจความสำคัญของประโยคนี้คือมานีชอบไปโรงเรียน ไม่ใช่ไปโรงเรียนเฉย ๆ
ประโยคความรวม
ประโยคความรวม หมายถึงประโยคที่เอาประโยคความเดียวมารวมกันจนเกิดเป็นประโยคความรวมโดยมีคำสันธานเป็นตัวเชื่อมประโยค
สังเกตประโยคความรวมผ่านความหมาย
ประโยคที่มีเนื้อหาคล้อยตามกัน – จะใช้คำสันธานเชื่อมประโยคดังนี้ และ กับ ทั้ง…แล ถ้า..จึง พอ…ก็ เมื่อ…ก็ แล้ว…จึง แล้ว…ก็
ประโยคที่มีเนื้อหาขัดแย้งกัน – จะใช้คำสันธานเชื่อมประโยคดังนี้ แต่ แต่ทว่า ถึง..ก็ ทั้งที่…ก็ กว่า…ก็ แม้ว่า…ก็ แม้…ก็
ประโยคที่มีใจความเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง – จะใช้คำสันธานเชื่อมประโยคดังนี้ หรือ มิฉะนั้น ไม่เช่นนั้น มิฉะนั้น…ก็ ไม่…ก็ หรือไม่อย่างนั้น…ก็
ประโยคที่มีข้อความเป็นเหตุเป็นผลกัน จะใช้คำสันธานเชื่อมประโยคดังนี้ เพราะ…จึง เพราะฉะนั้น เพราะฉะนั้น…จึง เพราะว่า ดังนั้น…จึง
ประโยคความซ้อน
ประโยคความซ้อน คือประโยคที่มีข้อความหลายประโยคซ้อนกันอยู่ในประโยคเดียวกัน ประโยคหลักเรียกว่า มุขยประโยค และมีประโยคย่อย เรียกว่า อนุประโยค โดยประย่อยนี้จะต้องอาศัยประโยคหลักเพื่อให้มีใจความสมบูรณ์
ข้อแตกต่างของประโยคในภาษาไทย
การสังเกตประโยคอย่างง่าย คือต้องมองข้อแตกต่างให้ออก เมื่อรู้แล้วว่าแต่ละประโยคแตกต่างกันอย่างไรก็จะทำให้แยกประโยคออกและเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น มาดูข้อแตกต่างของประโยคต่าง ๆ กันค่ะว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
1. ประโยคความเดียวมี 1 ประธาน แต่ประโยคความรวมมี 2 ประธาน
2. ประโยคความเดียวมี 1 กริยาหลัก แต่ประโยคความรวมมีกริยามากกว่า 2
3. ประโยคซ้อนและประโยคความรวมมีสองประโยครวมอยู่ในประโยคเดียวเหมือนกัน แต่ประโยคความซ้อนจะมีประโยคหนึ่งไม่สมบูรณ์ทำให้ต้องมีประโยคหลักมาช่วยประโยคย่อย ประโยคจึงจะมีใจความสำคัญ ในขณะที่ประโยความรวมมาจากประโยคความเดียวนำมารวมกัน ทำให้แต่ละประโยคที่ถูกรวมมีความหมายและใจความสำคัญในตัวเอง
จบไปแล้วนะคะสำหรับบทเรียนเรื่องการสังเกต ประโยคในภาษาไทย ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ น้อง ๆ คนไหนที่ยังสับสน ถ้าหมั่นทบทวนและทำแบบฝึกหัดบ่อย ๆ รับรองว่าเรื่องประโยคจะกลายเป็นเรื่องหมู ๆ ที่ไม่ทำให้น้อง ๆ ต้องกลัวเวลาเจอในข้อสอบกันอีกต่อไปแล้วค่ะ และเพื่อให้ได้ความรู้ควบคู่ความสนุกเพลิดเพลินไปด้วย อย่าลืมไปดูคลิปการสอนของครูอุ้มระหว่างทบทวนบทเรียนนะคะ รับรองว่าจะต้องทำให้น้อง ๆ ทุกคนเข้าใจขึ้นอย่างมากเลยค่ะ
อย่าพลาดการติดตามบทความภาษาไทยจาก nockacademy