มารยาทในการฟังที่ดีควรมีข้อปฏิบัติอย่างไร??

มารยาทในการฟังที่ดี

สารบัญ

Add LINE friends for one click to find article. Add LINE friends for one click to find article.

บทนำ

สวัสดีน้อง ๆ ทุกคน วันนี้เราจะพาไปพบกับบทเรียนง่าย ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้นั่นก็คือเรื่อง มารยาทในการฟังที่ควรปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ ควรจะเรียนรู้ไว้ เนื่องจากเราต้องใช้ทักษะการฟัง
ในทุก ๆ วัน แต่การจะฟังอย่างมีมารยาทนั้นเราจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง ถ้าน้อง ๆ คนไหนอยากรู้ เดี๋ยวเราไปดูบทเรียนเรื่องนี้พร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

 

มารยาทในการฟังที่ดี

 

มารยาท คืออะไร

สำหรับน้อง ๆ คนไหนที่กำลังสงสัยว่ามารยาทคืออะไร ทำไมเราถึงต้องมีคำนี้ในการฟัง หรือการสื่อสารในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย
ตามความหมายโดยรวมแล้ว คำว่า มารยาท หมายถึง พฤติกรรม หรือการกระทำที่ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา การนั่ง การกิน การยืน หรือการแต่งตัวที่อยู่ในกรอบของความสุภาพเรียบร้อย เหมาะสมตามกาลเทศะ เหมาะสมกับบุคคล หรือสถานที่
ดังนั้น ถ้าเราพูดจาอ่อนหวาน กริยาท่าทางสุภาพเรียบร้อยก็จะถือว่าเราเป็นคนที่มีมารยาทดี

 

มารยาทในการฟังที่ดี

ความหมายของการฟัง

การฟัง หมายถึง ความสามารถในการได้ยินผ่านหู แล้วรับรู้ เข้าใจ ไปจนถึงขั้นตอนของการตีความ หรือรู้ว่าเนื้อเรื่องสำคัญของสิ่งที่ฟังอยู่คืออะไร ซึ่งถ้าหากเรามีความสามารถในการฟังที่ดี นอกจากจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังแล้ว ก็ยังช่วยให้เราบอกเล่าเรื่องที่ฟังให้กับคนอื่นได้อย่างถูกต้องอีกด้วย

 

มารยาทในการฟัง และการพูด

จุดมุ่งหมายในการฟัง

การสื่อสารในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการฟัง การพูด การอ่าน หรือการเขียนก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีจุดมุ่งหมาย หรือความต้องการที่จะสื่อสารออกมา เช่นเดียวกันกับการฟังที่ต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เรารู้ว่าเราจะต้องฟังสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร โดยจะแบ่งจุดมุ่งหมายของการฟังออกเป็น 3 ข้อใหญ่ ๆ ดังนี้

1) การฟังเพื่อความรู้

สำหรับจุดมุ่งหมายของการฟังเพื่อความรู้ เป็นการฟังเนื้อหาสาระที่ทำให้เราเกิดปัญญา เกิดความรู้ อย่างการฟังครูสอนในห้องเรียน ฟังข่าวสารทางโทรทัศน์ ฟังพยากรณ์อากาศทางวิทยุ หรือการฟังเพื่อนพูดรายงงานหน้าชั้นเรียน ซึ่งเมื่อเราได้ฟังแล้วก็จะนำไปคิด วิเคราะห์ หรือตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่ฟังต่อได้

2) การฟังเพื่อความเพลิดเพลิน

จุดมุ่งหมายต่อมาคือการฟังเพื่อความเพลิดเพลิน ซึ่งเรามักจะได้ใช้ในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ  เพราะเป็นการฟังที่ไม่ต้องใช้การครุ่นคิด ไม่ต้องตีความ เพียงแค่ฟังให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลินใจอย่างการฟังเพลง ฟังดนตรีสด ฟังเรื่องตลกขบขัน หรือฟังเสียงตามธรรมชาติ โดยการฟังแบบนี้ก็จะขึ้นอยู่กับความชอบ หรือความต้องการของเราด้วย

3) การฟังเพื่อได้คติ และความจรรโลงใจ

สุดท้ายเป็นการฟังเพื่อให้ได้คติสอนใจ หรือความจรรโลงใจ น้อง ๆ หลายคนอาจจะไม่คุ้นชินกับการฟังในข้อนี้มากนัก แต่ความจริงแล้วมันเป็นการฟังที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น การฟังพระเทศนา ฟังนิทานที่มีข้อคิดคติสอนใจ รวมทั้งการฟังกลอน
หรือบทกวีที่โดยรวมแล้วจะเป็นการฟังเพื่อทำให้จิตใจของเราคิดดี ทำดี หรือฟังเพื่อให้ได้ข้อคิดไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตด้วย

 

มารยาทในการฟัง และการพูด

 

มารยาทของผู้ฟังที่ดีควรทำอย่างไร?

 

1.ฟังอย่างเรียบร้อยตั้งใจ

มารยาทข้อแรกที่เราควรต้องมีเมื่อฟังผู้อื่นพูด คือการตั้งสมาธิ และตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้พูดกำลังจะสื่อสารกับเรา ให้เราตั้งใจฟังว่าเนื้อหาสาระสำคัญที่ผู้พูดต้องการจะบอกเราคืออะไร เช่น ถ้าเราต้องฟังเพื่อนพูดรายงงานหน้าชั้นเรียน เราควรฟังว่า
เพื่อนทำรายงานเรื่องอะไร และต้องการจะนำเสนอเรื่องอะไรบ้าง

2. ไม่พูด หรือส่งเสียงรบกวนขณะที่ผู้อื่นกำลังพูด

ข้อนี้เป็นมารยาทที่น้อง ๆ ทุกคนต้องให้ความสำคัญมาก ๆ เพราะเมื่อมีผู้พูดก็ต้องมีผู้ฟังเป็นธรรมดา ดังนั้น ทุกครั้งที่เราเห็นผู้อื่นกำลังพูดอยู่ เราควรที่จะเงียบ และตั้งใจฟัง ไม่ควรพูดแทรก หรือส่งเสียงรบกวนผู้พูดเด็ดขาด

3. ปรบมือเพื่อให้เกียรติผู้พูด

ข้อนี้เป็นมารยาทสากลที่ทุกคนต้องฝึกฝนให้เป็นนิสัย ทุกครั้งที่เพื่อนของเราออกไปนำเสนองานหน้าชั้นเรียน หรือไปฟังผู้อื่นพูดบนเวที เมื่อเขาพูดจบแล้วให้ปรบมือเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้พูด

4. ยกมือถามเมื่อรู้สึกสงสัย

การยกมือถามเมื่อเรารู้สึกสงสัยเป็นเรื่องที่เราสามารถทำได้ และเป็นมารยาทที่ดี แต่น้อง ๆ ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ ณ ขณะนั้นด้วยว่าเราสามารถยกมือถามได้หรือไม่ เช่น ในการนำเสนองานหน้าชั้นเรียนเราควรให้เพื่อนของเรารายงานจนจบก่อน แล้วเราจึงยกมือถามเพื่อไม่เป็นการทำลายสมาธิของเพื่อนในขณะที่กำลังพูดอยู่ หรือในงานประชุมที่มีคนกำลังพูดอยู่บนเวทีเราควรรอให้ผู้พูดเว้นช่วงให้เราถามในตอนท้ายแล้วค่อยยกมือถามจึงจะเหมาะสมกว่า

5. รักษากฎระเบียบของสถานที่ที่เราไปนั่งฟัง 

การเรียนรู้กฎระเบียบของสถานที่ที่เราไปนั่งฟัง แล้วปฏิบัติตามถือเป็นมารยาทที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น ๆ เลย เพราะทุกสถานที่ย่อมมีกฎระเบียบกำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่นในห้องเรียนที่มีกฎว่าเวลาเรียนห้ามส่งเสียงดัง ห้ามพูดคุยกันในระหว่างที่ครูสอน หรือห้องประชุมที่มักจะห้ามคุยโทรศัพท์ หรือเปิดเสียงโทรศัพท์ระหว่างการประชุม ซึ่งเราก็ควรจะปฏิบัติตามกฎของสถานที่นั้น ๆ อย่างเคร่งครัดด้วย

6. ฟังด้วยความไม่มีอคติ

ข้อสุดท้ายคือการฟังโดยที่ตัวเราต้องลบความรู้สึกไม่ชอบ ไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วยออกไปให้หมดก่อน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นอคติที่จะทำให้เราปิดกั้นตัวเองจากการรับฟังสิ่งที่ผู้พูดกำลังสื่อสารกับเรา เช่น ถ้าเราไม่ชอบผู้พูดเป็นการส่วนตัว หรือเราไม่ชอบเนื้อหา มุมมองที่ผู้พูดเอาออกมานำเสนอ เราก็จะไม่อยากฟัง  หรือไม่ให้ความสนใจกับผู้พูด ซึ่งนั่นถือเป็นมารยาทในการฟังที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นเราควรฟังด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่คิดลบ หรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมาเด็ดขาด

สรุป

และทั้งหมดนี้ก็เป็นเนื้อหาสาระที่เราได้นำมาฝากน้อง ๆ ทุกคน บทเรียนเรื่องมารยาทในการฟังที่ดีนั้น
ถึงแม้ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างง่าย แต่ก็มีหลายอย่างที่เรายังต้องเรียนรู้ โดยน้อง ๆ ทุกคนจะได้เรียนเรื่องจุดมุ่งหมายของการฟังที่ลึกขึ้นในระดับมัธยมศึกษา และจะมีเนื้อหาการฟังที่ละเอียดมากขึ้น ดังนั้น การมีรากฐานความรู้ที่ดีในบทเรียนนี้ก็จะช่วยให้เราสามารถนำไปต่อยอดกับการเรียนในระดับที่สูงขึ้นได้ โดยเนื้อหาต่อไปเราจะมาเรียนรู้มารยาทในการฟังที่ดี ถ้าใครที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องมารยาทการฟัง และการพูดที่ดีก็สามารถไปดูคลิปวีดีโอจากครูอุ้มด้านล่างนี้ได้เลย

 

NockAcademy คือโรงเรียนออนไลน์สำหรับเด็ก โดยแอปฯ และเว็บไซต์ นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย
มากไปกว่านั้น เรายังมีคอร์สเรียนออนไลน์ การสอนพิเศษ การติวนอกสถานที่โดยติวเตอร์ที่แน่นไปด้วยความรู้ อีกด้วย

Add LINE friends for one click to find article. Add LINE friends for one click to find article.
ครูผู้สอน NockAcademy

แค่ 10 นาที ก็เข้าใจได้

สามารถดูคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่มีมากกว่า 2,000+ คลิป และยังสามารถทำแบบทดสอบที่มีมากกว่า 4000+ ข้อ

แนะนำ

แชร์

รากที่ n ของจำนวนจริง

รากที่ n ของจำนวนจริง และจำนวนจริงในรูปกรณฑ์

รากที่ n ของจำนวนจริง รากที่ n ของจำนวนจริง คือจำนวนจริงตัวหนึ่งยกกำลัง n แล้วเท่ากับ x   เมื่อ n > 1 เราสามารถตรวจสอบรากที่ n ได้ง่ายๆ โดยนิยามดังนี้ นิยาม ให้  x, y เป็นจำนวนจริง และ n

อสมการค่าสัมบูรณ์

จากบทความที่ผ่านมา น้องๆได้ศึกษาเรื่องค่าสัมบูรณ์และการแก้อสมการไปแล้ว บทความนี้จะเป็นการเอาเนื้อหาของอสมการและค่าสัมบูรณ์มาปรับใช้ นั่นก็คือ เราจะแก้อสมการของค่าสัมบูรณ์นั่นเองค่ะ เรื่องอสมการค่าสัมบูรณ์น้องๆจะได้เจอในข้อสอบ O-Net แต่น้องๆไม่ต้องกังวลค่ะ ถ้าน้องๆเข้าใจหลักการและสมบัติของค่าสัมบูรณ์และอสมการน้องๆจะสามารถทำข้อสอบได้แน่นอน

ม.3 สำนวนการเสนอ การขออนุญาต และขอความช่วยเหลือ

สำนวนการเสนอ การขออนุญาต และขอความช่วยเหลือ

สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นม. 3 ที่น่ารักทุกคน วันนี้ครูจะพาไปตะลุย “สำนวนการเสนอ การขออนุญาต และขอความช่วยเหลือ พร้อมทั้งเทคนิคการพูดตอบรับและปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยจร้า สำนวนการเสนอ   ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ล้วนจะต้องเจอกลุ่มประโยคคำถามในเชิงชักชวน และการเสนอแนะที่ใช้เป็นรูปแบบคำถามนั้นถือเป็นการเสนอแนะชักชวนทางอ้อม ถ้าเทียบกับนิสัยคนไทยแล้ว ก็เพื่อแสดงถึงความเกรงใจ ไม่พูดมาตรงๆ เพื่อจุดประสงคืบางอย่าง ซึ่งเป็นนิสัยที่คนไทยส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว ในภาษาอังกฤษการใช้ภาษาเหล่านี้จะทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติและคล่องมากขึ้น โดยที่บางครั้งผู้ถามนั้นหว่านล้อมผู้ฟังด้วยการ ชวนให้ทำ หรือแนะนำให้ทำนั่นเอง ประโยคคำถามที่ใช้มีดังนี้  

รูปแบบของประพจน์ที่สมมูลกัน

การสมมูลกันของประพจน์สำคัญอย่างไร?? ถือว่าสำคัญค่ะ เพราะถ้าเรารู้ว่าประพจน์ไหนสมมูลกับประพจน์อาจจะทำให้การตรวจสอบการเป็นสัจนิรันดร์และการหาค่าความจริงง่ายขึ้น หลังจากอ่านบทความนี้จบ น้องๆจะสามารถทำแบบฝึกหัดเรื่องการสมมูลได้และพร้อมทำข้อสอบได้แน่นอน

ทศนิยมกับการวัด

ความสัมพันธ์ของทศนิยมกับการวัด

บทความนี้จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ของทศนิยมกับการวัด ที่จะทำให้น้อง ๆสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสถาณการณ์ที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน จะทำให้เข้าใจหลักการและสามารถบอกค่าของการวัดที่เป็นทศนิยมได้ถูกต้อง

สมบัติการคูณจำนวนจริง

การให้เหตุผลแบบอุปนัย

การให้เหตุผลแบบอุปนัย การให้เหตุผลแบบอุปนัย คือ การนำประสบการณ์มาสรุปผล เช่น เราไปซื้อผลไม้แล้วเราชิมผลไม้ 2-3 ลูก ปรากฏว่า มีรสหวาน เราเลยสรุปว่าผลไม้ทั้งกองนั้นหวาน เป็นต้น ซึ่งการสรุปผลอาจจะเป็นจริงหรือเท็จก็ได้ อาจจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้สรุป ดังนั้น ผลสรุปไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น เหตุ เมื่อวานแป้งตั้งใจเรียน วันนี้แป้งตั้วใจเรียน ผลสรุป  พรุ่งนี้แป้งจะตั้งใจเรียน การให้เหตุผลแบบนี้ เหมือนเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งการคาดคะเนนี้อาจจะจริงหรือเท็จก็ได้

โลโก้ NockAcademy

ทดลองฟรี!

เข้าใจได้ทันที NockAcademy ไลฟ์สดอันดับ 1 

โลโก้ NockAcademy

ทดลองฟรี!

เข้าใจได้ทันที NockAcademy ไลฟ์สดอันดับ 1