สวัสดีค่ะนักเรียนที่รักทุกคน วันนี้เราจะไปเรียนรู้เรื่อง การใช้กริยา be กับคำนามเอกพจน์ และพหูพจน์ กันนะคะ
พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยจ้า Let’s go!
รู้จักกับ V. to be
V. to be
แปลว่า เป็น อยู่ คือ หลัง verb to be เป็นสถานที่ จะแปลว่า อยู่ และหากหลัง verb to be เป็นคำนามทั่วไป แปลว่า เป็น/คือ และถ้าหากหลัง verb to be เป็นคำคุณศัพท์ ตรงนี้ V. to be จะไม่มีความหมายเลยจ้า
ชนิดของ Verb to be
เจ้า Verb to be สามารถแปลงร่างออกได้เป็น 7 คำด้วยกันนะคะ
ได้แก่
be, is, am, are
was, were
been
Verb to be ทั้ง 7 ตัวนี้ แปลว่า เป็นอยู่คือเหมือนกัน แต่หลักการใช้ไม่เหมือนกันนะคะ
ลองดูประโยคต่อไปนี้
× Lisa be an artist.
√ Lisa is an artist.
ลิซ่าเป็นศิลปิน
การใช้ is/ am/ are
นักเรียนสามารถใช้ is/ am/ are ในประโยค Present simple tense และ Present continuous tense (ปัจจุบันกาล) ได้เลยค่ะ
แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องใช้ให้สอดคล้องกับประธานของประโยคด้วยนะคะ
ตัวอย่างเช่น
I am a girl.
ฉันเป็นเด็กผู้หญิงMike is a boy.
ไมค์เป็นเด็กผู้ชาย
They are swimming.
พวกเขากำลังว่ายน้ำWe like her.
พวกเราชอบเธอ
การใช้ was/ were
นักเรียนสารมารถใช้ กริยา was และ were ในประโยค Past simple tense และ Past continuous tense (อดีตกาล) ได้เลยค่า โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องของประธานกับกริยาด้วยนะคะ เช่น
I was a fat girl before.
ฉันเป็นเด็กผู้หญิงตัวอ้วนๆมาก่อนHe was washing dishes when I called him.
เขากำลังล้างจานอยู่ตอนที่ฉันโทรหาThey were at home.
เขาอยู่ที่บ้าน (ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว)
โครงสร้างประโยคคำถามที่เราต้องรู้ คือ
Verb to be + Subject + Object/ Complement….?
ตัวอย่างประโยค
ประโยคบอกเล่า: Emily is going to the zoo.
แปล เอมมิลี่กำลังจะไปสวนสัตว์
ประโยคคำถาม: Is Emily going to the zoo?
แปลว่า เอมมิลี่จะไปสวนสัตว์มั้ย
อธิบายเพิ่มเติม: เอมมิลี่เป็นประธาน, is เป็น V. to be, going มาจาก go + .ing แปลว่า กำลังไป
คำนามเอกพจน์และพหูพจน์คืออะไร
คำนามในภาษาอังกฤษจะมี 2 รูป คือเอกพจน์และพหูพจน์
คำนามเอกพจน์ (singular noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนหนึ่งหน่วย ซึ่งก็คือคำนามรูปปกติทั่วไป
เช่น a book, a pencil, a girl ส่วนคำนามพหูพจน์ (plural noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่งหน่วย หรือพูดอีกแบบก็คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนตั้งแต่สองสิ่งขึ้นไปนั่นเองค่ะ ด้วยการเติม s หรือ es ต่อท้าย อย่างเช่น cats, tables, pens หรือบางคำก็ใช้การเปลี่ยนตัวอักษรแทน เช่น จาก foot เป็น feet
A child – children เด็ก
A tooth – teeth ฟัน
A goose – geese ห่าน
A mouse – mice หนู
ตัวอย่างคำนามเอกพจน์และพหูพจน์
A cat – แมวหนึ่งตัว
Two cats – แมวสองตัวA table–โต๊ะหนึ่งตัว
Four tables– โต๊ะสี่ตัวA woman–ผู้หญิงหนึ่งคน
Many women–ผู้หญิงหลายคน
car – cars รถbag – bags กระเป๋า
table – tables โต๊ะ
house – houses บ้าน
dog – dogs สุนัข
คำนามนับได้และนับไม่ได้
ในภาษาอังกฤษ คำนามจะแบ่งออกเป็นคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้
คำนามนับได้ (countable noun) คือคำนามที่นับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้
ตัวอย่างเช่น
Bird (นก) – นับได้ว่ากี่ตัว
คำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) คือคำนามที่เรามักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า
ตัวอย่างเช่นSugar (น้ำตาล) – เราจะไม่นับน้ำว่ามีกี่เม็ดเพราะมันคงยากมากๆ
Hair (เส้นผม) – เราจะไม่นับข้าวว่ามีกี่เส้น
ในภาษาอังกฤษ เมื่อไม่ได้ระบุปริมาณชัดเจน ผู้ฟัง/ผู้อ่านอาจอาศัยการดูพจน์ของคำนาม เพื่อให้รู้ว่าผู้พูด/ผู้เขียนหมายถึงปริมาณหนึ่งหน่วย หรือมากกว่าหนึ่งหน่วย ยกตัวอย่างเช่น
คำนามเอกพจน์ | คำนามพหูพจน์ |
Rat | Rats |
Girl | Girls |
Boy | Boys |
Book | Books |
Town | Towns |
Dream | Dreams |
นอกจากนี้คำนามที่เป็นพหูพจน์อื่นๆ เช่น คำที่ลงท้ายด้วย ves
เกิดจากการที่เราเปลี่ยน f เป็น ve แล้วเติม s
- half – halves ครึ่ง
- hoof – hooves เท้าสัตว์
- calf – calves ลูกวัว
- elf – elves เอลฟ์
- shelf – shelves ชั้นวาง
- leaf – leaves ใบไม้
- thief – thieves ขโมย
- wolf – wolves หมาป่า
- knife – knives มีด
- scarf – scarves ผ้าพันคอ
- wife – wives ภรรยา
ถ้านักเรียนเจอคำนามที่ลงท้ายด้วย y ตามหลังสระ ให้นักเรียนเติม s ได้เลยจะทำให้คำนามนั้นเป็นพหูพจน์นะคะ
- day – days วัน
- holiday – holidays วันหยุด
- toy – toys ของเล่น
- key – keys กุญแจ
- donkey – donkeys ลา
คำนามที่ลงท้ายด้วย y ที่ตามหลังพยางค์ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es
ได้เลยจะทำให้คำนามนั้นเป็นพหูพจน์นะคะ ตัวอย่างเช่น
- city – cities เมือง
- candy – candies ลูกกวาด
- country – countries ประเทศ
- family – families ครอบครัว
- cherry – cherries ลูกเชอร์ลี่
- lady – ladies สุภาพสตรี
- puppy – puppies ลูกสุนัข
- party – parties ปาร์ตี้
ถ้าเจอพยางค์ที่ตามด้วย o ให้นักเรียนเติม es ที่ท้ายคำได้เลยค่ะจะทำให้นามนั้นเป็นพหูพจน์
ตัวอย่างเช่น คำต่อไปนี้
- potato – potatoes มันฝรั่ง
- tomato – tomatoes มะเขือเทศ
- hero – heroes ฮีโร่
- domino – dominoes โดมิโน
- mosquito – mosquitoes ยุง
- volcano – volcanoes ภูเขาไฟ
ยกเว้นคำเหล่านี้นะคะ ให้นักเรียนเติม s ได้เลย:
- piano – pianos เปียโน
- photo – photos ภาพถ่าย
- halo – halos รัศมี
- soprano – sopranos นักร้องเสียงโซปราโน
เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน พอจะเข้าใจ การใช้กริยา V. to be กับคำนามเอกพจน์ และพหูพจน์ ขึ้นมาบ้างหรือยังเอ่ย นักเรียนสามารถย้อนดูบทเรียนย้อนหลังฟรีๆได้บนยูทูปเลยนะคะ
คลิกปุ่มเพลย์แล้วไปเรียนให้สนุกกันจ้า