สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นม. 3 ที่น่ารักทุกคน วันนี้ครูจะพาไปดูเทคนิค การแสดงความต้องการ เสนอและให้ความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยจร้า
การแสดงความต้องการ
Question: สงสัยมั้ยว่า need/want /would like to have สามคำนี้ต่างกันยังไง?
ตัวอย่างการใช้ need VS want ในประโยคบอกเล่า เช่น
I need some sugar. ฉันอยากได้น้ำตาล
***ค่อนข้างเป็นภาษาระดับกันเองมากๆ
I want some sugar. ฉันต้องการน้ำตาล
****เป็นภาษาระดับกลาง ใช้กับคนสนิทหรือ บุคคลทั่วไป
หากต้องการถามขอน้ำตาลก็สามารถพูดได้ว่า
Can I have some sugar please?
ขอน้ำตาลหน่อยค่ะ/ครับ
***ในกรณีที่ต้องใช้ประโยคคำถามแบบสุภาพมากๆ ซึ่ง มักจะเจอในบริบทที่ เป็นทางการ หรือ สถานการณ์ที่เราไม่คุ้นเคย ซื้อของกับพนักงาน บทสนทนาในร้านอาหาร จะใช้ โครงสร้าง “I would like to have + สิ่งที่ต้องการ ..เช่น
Situation: At the restaurant. ณ ร้านอาหาร
James: I would like to have some water please!
แปลว่า ขอน้ำด้วยนะคะ/ครับ
***จะสังเกตได้ว่าเป็นภาษาพูดที่สุภาพมากๆเลยจร้าWaitress: Here you are sir.
แปลว่า นี่ค่ะน้ำ คุณผู้ชาย
ประโยคเสนอแนะที่เจอบ่อย
คำศัพท์น่าสนใจ
Advice (Noun): คำแนะนำ
Advise (Verb): แนะนำ
ประโยคคำแนะนำ ส่วนใหญ่แล้วจะเจอในรูปแบบของประโยคบอกเล่า ซึ่งจะมีความหมายในทางเสนอแนะ มากกว่า บางครั้งก็เป็นการให้ความคิดเห็นและแนะว่าควรทำหรือไม่ควรทำสิ่งใด สิ่งหนึ่งถือเป็นการเสนอแนะโดยตรงมีโครงสร้างดังนี้
Subject + suggest/advise/propose + (that) +…..
ตัวอย่าง
I suggest (that) you should take a bus to school.
ฉันขอเสนอแนะว่า เธอควรขึ้นรถบัสไปโรงเรียน
I advise (that) we should go jogging everyday.
ฉันแนะนำว่า เราควรไปวิ่งทุกวัน
I propose (that) we should not miss the flight.
ฉันขอเสนอว่า ว่าเราไม่ควรตกเที่ยวบิน
I advise (that) you should water your plants every day.
ฉันแนะนำให้คุณรดน้ำต้นไม้ทุกวันI advise (that) you should take a medicine everyday.
ฉันแนะนำให้คุณทานยาทุกวัน
การเสนอแนะชักชวนทางอ้อม (Indirect Suggestions)
ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ล้วนจะต้องเจอกลุ่มประโยคคำถามในเชิงชักชวน และการเสนอแนะที่ใช้เป็นรูปแบบคำถามนั้นถือเป็นการเสนอแนะชักชวนทางอ้อม ถ้าเทียบกับนิสัยคนไทยแล้ว ก็เพื่อแสดงถึงความเกรงใจ ไม่พูดมาตรงๆ เพื่อจุดประสงคืบางอย่าง ซึ่งเป็นนิสัยที่คนไทยส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว ในภาษาอังกฤษการใช้ภาษาเหล่านี้จะทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติและคล่องมากขึ้น โดยที่บางครั้งผู้ถามนั้นหว่านล้อมผู้ฟังด้วยการ ชวนให้ทำ หรือแนะนำให้ทำนั่นเอง ประโยคคำถามที่ใช้มีดังนี้
- ถามแบบรูปประโยค Yes/No Question :
Shall we…………?
เรา………กันดีมั้ย
- ถามแบบรูปประโยค Wh- Questions :
Why don’t we………..?
เรา .. … กันมั้ย
How about……….?
…………….ดีมั้ย
- ถามแบบรูปประโยค Indirect Questions :
I wonder if we…
ฉันไม่ทราบว่า เรา………….มั้ย
ตัวอย่าง:
Shall we read books at the library?
เราไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดกันเถอะ
Why don’t we walk to school?
ทำไมเราไม่เดินไปโรงเรียนกันนะ (หรือ เดินไปโรงเรียนกันดีกว่า)
How about playing a football after school?
เย็นนี้ เล่นฟุตบอลกันเถอะ
I wondered if we should sit with them?
ฉันว่าเราควรไปนั่งกับพวกเขากันเถอะ
Shall we book a movie ticket?
เราจองตั๋วหนังกันดีมั้ย
Shall we go to the wedding?
เราควรไปงานแต่งกันมั้ยI wondered if we can wear a mask during Covid-19 everyday?
ฉันว่าเราควรใส่หน้ากากทุกวันในช่วงโควิดนี้How about eating out today?
วันนี้ไปกินข้าวนอกบ้านกันดีกว่า
รูปแบบและโครงสร้างประโยค Imperative sentence ที่ควรรู้
- Imperative sentence ในรูปแบบประโยคบอกเล่าจะ ใช้ Verb base form (V.1) ขึ้นต้นประโยคแล้วตามด้วยสิ่งที่จะสั่งให้ทำ หรืออาจใช้ Verb แค่คำเดียวก็ได้ เช่น
Help! ช่วยด้วย
Help me pelase! กรุณาช่วยด้วย
Help me please anyone! ใครก็ได้ช่วยทีMove out! แปลว่า ออกไป
Move on. แปลว่า เดินหน้าต่อไปได้แล้วนะ
Stay strong. แปลว่า เข้มแข็งหน่อยสิ
Go for it. แปลว่า ลุยเลย
Stay focus. แปลว่า มีสมาธิหน่อยสิ
Listen up! แปลว่า ตั้งใจฟัง
Quiet please! แปลว่า กรุณาเงียบๆด้วย
Hans up! แปลว่า ยกมือขึ้น
อธิบายเพิ่มเติม: ถ้าต้องการให้ประโยค Imperative สุภาพยิ่งขึ้น ควรเติม ‘do’ ไว้ข้างหน้า ตัวอย่างเช่น
Do study hard. แปล ต้องขยันเรียนนะ
Do come. แปล ต้องมานะ
Do go to school. แปล ต้องไปโรงเรียนนะ
Do have breakfast every morning. แปล ต้องทานอาหารเช้าทุกๆ เช้านะ
Do miss me sometimes! แปล คิดถึงฉันด้วยนะ
- ใช้ Verb ‘be’ ขึ้นต้นประโยค เช่น
Be helpful!
แปลว่า ทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยBe a good boy.
แปลว่า จงเป็นเด็กดีBe a good role model.
แปลว่า จงเป็นตัวอย่างที่ดี
Be proud of yourself.
แปลว่า จงภูมิใจในตัวเองBe brave.
แปลว่า จงกล้าหาญBe kind.
แปลว่า จงมีเมตตา
Be humble.
แปลว่า จงถ่อมตัว
Be eager to learn.
แปลว่า จงกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้
Imperative sentence ในรูปแบบประโยคปฏิเสธ หากต้องการทำให้เป็นรูปแบบประโยคปฏิเสธ เพียงแค่วาง do not (don’t) หน้าคำกริยา จะได้โครงสร้าง Don’t + V. infinitive เช่น
Don’t eat late.
= อย่าทานข้าวสาย
Don’t copy a homework.
= อย่าลอกงานเพื่อนDon’t go alone during a night time.
= อย่าไปคนเดียวตอนดึกๆ
- Imperative sentence ที่ขึ้นต้นด้วยกริยา ‘be’ ก็เช่นเดียวกัน เพียงวาง don’t หน้ากริยา be เช่น
Don’t be silly.
= อย่างี่เง่า
Don’t be noisy here.
= อย่าเสียงดังที่นี่Don’t be grumpy.
= อย่าวีน (อย่าอารมณ์เสียเลย)
ประโยคและวลีเพื่อการตอบรับ (Accepting)
Yes!
ได้เลยOf course.
แน่นอนThat’s a good/ great idea/ What a good idea.
เป็นความคิดที่ดีมากๆThat’s interesting.
น่าสนใจดีYes/ Of course/ Certainly/Absolutely/ Surely
ไปแน่นอน
ประโยคและวลีเพื่อการตอบปฏิเสธ (Refusing):
Sorry, I can’t go.
ขอโทษด้วยนะ ฉันไปไม่ได้Sorry! I’m in a hurry!
ขอโทษนะ ฉัน/ผมรีบอยู่Sorry, I already had a plan.
ขอโทษนะพอดีว่ามีแผนแล้วI’m afraid I won’t be able to go.
ดิฉันเกรงว่าคงจะไปไม่ได้นะคะSorry, I’d love to but I already had an appointment.
ขอโทษที ฉันก็อยากไปนะ แต่บังเอิญว่าดันฉันมีนัดแล้วอะI really don’t think I can go, and I must say sorry.
ฉันคิดว่าฉันคงจะไปไม่ได้จริงๆค่ะ ต้องขอโทษนะคะ
ครูหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักเรียนที่น่ารักทุกคนจะได้รับประโยชน์และความรู้จากการอ่านบทความนี้นะคะ ขอให้สนุกและมีความสุขกับการเรียนนะคะทุกคน
อย่าลืมทบทวนบทเรียนกับวีดีโอด้านล่าง นะคะ คลิกตรงปุ่มเพลย์ แล้วไปเรียนให้ได้สนุกสร้างเสริมองค์ความรู้ภาษาอังกฤษแบบปังๆกันจร้า
เลิฟๆ Take care guys!