สวัสดีนักเรียนชั้นม.5 ที่น่ารักทุกคน วันนี้เราจะไปดูวิธีการบอกข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ “เรื่อง Present Tense โดยมีคำบอกเวลา และเเต่งประโยคให้เข้ากับคำศัพท์เรื่องสถานที่ต่างๆ” พร้อมทั้งตัวอย่างสถานการณ์ใกล้ตัวกันค่ะ ไปลุยกันโลดเด้อ Let’s go!
ทบทวน Present Simple Tense
Present แปลว่า ปัจจุบัน ดังนั้น Present Simple Tense จึงเป็นประโยคที่มี โครงสร้างแบบง่าย ๆ ธรรมดา ที่พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน (Present) นั่นเองค่า โดยมีเงื่อนไขตามลักษณะต่าง ๆเพิ่มเติมดังนี้
- ใช้เพื่อพูดถึงความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน หรือความเป็นจริงตามธรรมชาติ (Natural truth) เช่น
When the earth moves around itself, it makes both of the Day and Night.
แปล เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง มันทำให้เกิดทั้งกลางวันและกลางคืน
- ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ นิสัย (Habits) เช่น
I eat rice every morning. หรือ I have rice every morning.
แปล ฉันกินข้าวทุกเช้า
They go to school 5 days a week.
แปล พวกเขาไปโรงเรียน 5 ครั้งต่อสัปดาห์Jenny walks in the park every weekend.
แปล เจนนี่เดินในสวนสาธารณะทุกๆ วันหยุดสุดสัปดาห์
รูปประโยคของ Present Simple Tense
- ประโยคบอกเล่า
โครงสร้างของประโยคบอกเล่า : Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)
ทั้งนี้คำกริยาช่องที่ 1 นั้นจะมีการเติม s หรือ es ถ้าหากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) แต่ถ้าประธานเป็น I, You หรือประธานพหูพจน์ (You (หลายคน), We, They) ให้คงรูปคำกริยานั้น ๆ ไว้เช่นเดิม เช่น
Jimmy goes to school everyday.
แปล จิมมี่ไปโรงเรียนทุกวัน
They enjoy walking their dog every evening.
แปล พวกเขาชื่นชอบการพาสุนัขไปเดินเล่นช่วงเย็นของทุกๆวัน
**ประโยคนี้ประธานคือ They เป็นพหูพจน์ กริยาคือ enjoy จึงไม่ต้องเติม s หรือ es ที่ท้ายกริยา
ข้อสังเกต :
หลักการเติม s,es นั้นง่ายนิดเดียว คือ คำกริยาที่ลงท้ายด้วย sh, ch, o, s, ss, x, z ให้เติม es เมื่อประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) เช่น
He washes his motorbike every week.
เขา (ผู้ชาย) ล้างรถมอเตอร์ไซค์ทุกอาทิตย์จะเห็นว่า ประธานของประโยคคือ He ซึ่งเป็นเอกพจน์ คำกริยาคือ wash ที่ลงท้ายด้วย sh จึงต้องเติม es ต่อท้าย
- ประโยคคำถาม
โครงสร้างของประโยคคำถามใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคือ
- แบบที่ 1 : Verb to be + Subject + Object/Complement + (คำบอกเวลา) ? เช่น
ประโยคบอกเล่า: She is my best friend.
ประโยคคำถาม: Is she your best friend?
แปล หล่อนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอเหรอ
- แบบที่ 2 : Verb to do + Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)?
ประโยคบอกเล่า: We go dancing at the club every night.
Do we go dancing at the club every night?ประโยคคำถาม:
แปล พวกเราไปเต้นที่คลับทุกคืนหรือเปล่า
- ประโยคปฏิเสธ (Negative sentence)
- แบบที่ 1 : Subject + Verb to be + not + Object/Complement + (คำบอกเวลา)
Ex: I am not your girlfriend.
แปล ฉันไม่ใช่แฟนของคุณ
- แบบที่ 2 : Subject + Verb to do (do, does)not + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)
Situation: Jenny is talking to Adam.
Jenny: I do not go to school.
แปล ฉันไม่ไปโรงเรียน (ไม่เรียนหนังสือ)
Adam: Why?
แปล ทำไมล่ะ
Jenny: I work at the convenient store because I don’t have any parents.
แปล ฉันทำงานที่ร้านขายของชำเพราะว่าฉันไม่มีพ่อแม่
Adam: Keep going.
แปล สู้ๆนะ
คำบอกเวลาใน Present Simple Tense
Adverbs of Frequency
Always = สม่ำเสมอ, เป็นประจำ
Frequently = บ่อย ๆ
Often = บ่อย ๆ
Usually = โดยปกติ
Hardly = แทบจะไม่เคย
Never= ไม่เคย
Rarely = แทบจะไม่เคย
Seldom= นาน ๆ ครั้ง
Sometimes= บางครั้ง
ประโยคถามเส้นทาง
(Asking for direction) |
แปล
(Translation) |
Could you tell me how to get to..?
(get to = go to)
|
กรุณาบอกหน่อยได้ไหมครับว่าจะไป…ได้อย่างไร? |
How do I find…?
|
ฉันจะหา….ได้อย่างไร? (ทางไป…) |
What is the best way to…?
|
ทางไหนดีที่สุดที่จะไป…? |
Pardon me, I’m lost, how do I get to…?
|
ขอโทษนะคะ/ครับ ฉันหลงทาง ไม่ทราบว่าจะไป….อย่างไร? |
How do I get to…?
|
ฉันจะไปที่…ได้อย่างไร? |
คำบุพบทบอกตำแหน่ง (Preposition of Place)
เมื่อจะต้องบอกทาง เราต้องรู้จักกลุ่มคำศัพท์หนึ่งที่เรียกว่า Preposition หรือคำบุพบท คือ คำที่ใช้เชื่อมคำนามกับคำนาม หรือเชื่อมคำนามกับ วลี/ประโยค ซึ่ง Preposition ที่สำคัญและพบกันอยู่บ่อยๆ ในการบอกทิศทาง ได้แก่ in (ใน), on (บน), toward (ไปยัง), from (จาก), after (หลังจาก), among (ระหว่าง), at (ที่)
ตัวอย่างประโยคบอกทาง:
- Turn left at the corner. (เลี้ยวซ้ายตรงหัวมุม)
- Turn right at the second corner. (เลี้ยวขวาตรงหัวมุมที่สอง)
- Your destination is in front of you. (เป้าหมายอยู่ด้านหน้าของคุณ)
คู่คำบุพบทบอกสถานที่สับสนบ่อย
- On VS On top
โดยปกติแล้ว ‘On’ จะถูกใช้กับที่ปกติที่ใช้ในการวางสิ่งของ เช่น
The books are on the bookshelf.
แปล หนังสืออยู่บนหิ้ง
- Between VS Beside
‘Between’ เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีวัตถุหนึ่งอยู่ตรงกลางระหว่าง 2 วัตถุ ส่วน ‘Beside’ มีความหมายเหมือนกับ ‘Next to’ แปลว่า อยู่ระหว่าง แต่ว่า ‘Beside’ จะแปลว่า ถัดไป…
จะมีความเป็นทางการมากกว่า ทั้งคู่จะถูกใช้เมื่อวัตถุ หรือ สถานที่ หนึ่ง อยู่ข้างๆ อีกสิ่งหนึ่ง
คำศัพท์เกี่ยวกับสถานที่
ตารางศัพท์เกี่ยวกับสถานที่ นักเรียนสามารถใช้ at + the+ สถานที่ด้านล่างนี้เพื่อบอกว่า เราอยู่ที่ไหนได้เลยค่า
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ | คำแปล |
airport | สนามบิน |
escalator | บันไดเลื่อน |
expressway | ทางด่วน |
furniture store | ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ |
garage | อู่ซ่อมรถ |
apartment | อพาร์ทเมนท์ |
bakery | ร้านเบเกอรี่ |
car showroom | ศูนย์จำหน่ายรถยนต์ |
church | โบสถ์คริสต์ |
crosswalk | ทางม้าลาย |
driving range | สนามซ้อมไดรฟ์กอล์ฟ |
government office | หน่วยงานราชการ |
hardware shop | ร้านขายอุปกรณ์ช่าง |
house | บ้าน |
hut | กระท่อม |
clinic | คลินิก |
coffee shop | ร้านกาแฟ |
condominium | คอนโดมีเนี่ยม |
foundation | มูลนิธิ |
gymnasium | โรงยิม |
night market | ตลาดกลางคืน |
pier | สะพานที่ยื่นออกไปในน้ำ |
playhouse | โรงละคร |
resort | สถานที่พักตากอากาศ |
อย่าลืมดูวีดีโอทบทวนบทเรียนในหัวข้อ “วิชาภาษาอังกฤษ ชั้น ม.5 เรื่อง ทบทวน Simple Present tense กันด้วยเด้อ” เลิฟๆ
คลิกที่ปุ่มเพลย์แล้วไปเรียนให้สนุกกันจร้า
Take care guys!