สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นป.6 ที่น่ารักทุกคน วันนี้ครูจะพาเรียนรู้เกี่ยวกับ “การใช้ประโยคคำสั่งในชีวิตประจำวัน (Imperative sentence in daily life)” กันนะคะ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันโลด
ประเภทของประโยค ” Imperative sentence “
- Imperative sentence ในรูปแบบประโยคบอกเล่าจะ ใช้ Verb base form (V.1) ขึ้นต้นประโยคแล้วตามด้วยสิ่งที่จะสั่งให้ทำ หรืออาจใช้ Verb แค่คำเดียวก็ได้ เช่น
Stay strong. แปลว่า เข้มแข็งหน่อยสิ
Go for it. แปลว่า ลุยเลย
อธิบายเพิ่มเติม: ถ้าต้องการให้ประโยค Imperative สุภาพยิ่งขึ้น ควรเติม ‘do’ ไว้ข้างหน้า ตัวอย่างเช่น
Do go to school.
แปล ต้องไปโรงเรียนนะDo have breakfast every morning.
แปล ต้องทานอาหารเช้าทุกๆ เช้านะ
- ใช้ Verb ‘be’ ขึ้นต้นประโยค เช่น
Be kind.
จงมีเมตตาBe careful.
ระวังตัวด้วยBe yourself.
จงเป็นตัวของตัวเอง
- Imperative sentence ในรูปแบบประโยคปฏิเสธ หากต้องการทำให้เป็นรูปแบบประโยคปฏิเสธ เพียงแค่วาง do not (don’t) หน้าคำกริยา จะได้โครงสร้าง
Don’t + V. infinitive เช่น
Don’t eat late.
= อย่าทานข้าวสายDont’ be nosiy!
= อย่าเสียงดังสิDon’t be the loser!
= อย่าเป็นไอ้ขี้แพ้Don’t be lonely.
= อย่าเหงาเลย
- Imperative sentence ที่ขึ้นต้นด้วยกริยา ‘be’ ก็เช่นเดียวกัน เพียงวาง don’t หน้ากริยา be เช่น
Don’t be silly.
= อย่างี่เง่าDon’t be noisy here.
= อย่าเสียงดังที่นี่Don’t be grumpy.
= อย่าวีน (อย่าอารมณ์เสียเลย)
Imperative sentence ในเชิงขอร้อง
เราสามารถใช้ Imperative sentence ในเชิงขอร้องได้ โดยเพียงเติม Please (กรุณา)
เข้าไปวางไว้หน้าหรือท้ายประโยคก็ได้ เพื่อให้ดูสุภาพขึ้น เช่น
- Please give me some money.
= ขอตังค์หน่อยค่ะ - Please call back later.
= กรุณาโทรกลับทีหลังด้วยนะคะ - Please hang up.
= กรุณาตัดสายด้วยนะคะ - Could I have some water, please?
= ขอน้ำเปล่าด้วยนะคะ - Could you open the window, please?
=กรุณาเปิดหน้าต่างให้ด้วยนะคะ
ประโยคImperative sentence (แบบชักชวน)
ประโยคคำสั่งที่ใช้ไนความหมายแบบชักชวนนี้ มีอยู่รูปเดียวคือ Let’s (Let us) เป็นการชักชวน แบบเป็นกันเอง เช่น เพื่อนชวนเพื่อนออกไปกินข้าว พี่ชวนน้องไปเที่ยว เป็นต้น โดยที่ผู้ถามอาจจะไม่ต้องการคำตอบแต่เป็นเพียงการชวนไปทำอะไรบางอย่าง อย่างมีจุดมุ่งหมาย จะเรียกว่าสั่งแบบชวนแบบนั้นก็ได้ค่ะ ซึ่ง มีโครงสร้าง ดังนี้นะคะ
โครงสร้างประโยคคำสั่ง (แบบชักชวน)
” Let’s + V. infinitive…”
|
ตัวอย่าง
Let’s watch the movie tongiht, shall we?
คืนนี้ดูหนังกันเถอะ ป้ะ
เพิ่มเติม: บางประโยคอาจจะมีคำว่า Shall we? ต่อท้ายด้วยเพื่อเป็นการชักชวน
แปลว่า ไปกันเถอะ (ป้ะ) เข้ามาด้วย ซึ่งใช้กับเพื่อนหรือการชวนคนสนิท
ประโยคแนะนำที่เจอในชีวิตประจำวัน
ประโยคคำแนะนำส่วนใหญ่แล้วจะเจอในรูปแบบของประโยคบอกเล่าซึ่งจะมีความหมายในทางเสนอแนะมากกว่า บางครั้งก็เป็นการให้ความคิดเห็นและแนะว่าควรทำหรือไม่ควรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งถือเป็นการเสนอแนะโดยตรงมีโครงสร้างดังนี้ค่ะ
ตัวอย่าง
I suggest (that) you should take a bus to school.
ฉันขอเสนอแนะว่า เธอควรขึ้นรถบัสไปโรงเรียน
I advise we should go jogging everyday.
ฉันขอแนะนำว่า เราควรไปวิ่งทุกวัน
I propose (that) we should not miss the flight.
ฉันขอเสนอว่า ว่าเราไม่ควรตกเที่ยวบิน
I ought to help my mom wash the dishes.
ฉันควรจะ ช่วยคุณแม่ล้างจาน
I advise you should water your plants every day.
ฉันแนะนำให้คุณรดน้ำต้นไม้ทุกวัน
ในชีวิตประจำวันเราจะเจอกลุ่มประโยคคำถามเกี่ยวกับการ“ชักชวน”
ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ล้วนจะต้องเจอกลุ่มประโยคคำถามในเชิงชักชวน และการเสนอแนะที่ใช้เป็นรูปแบบคำถามนั้นถือเป็น การเสนอแนะชักชวนทางอ้อม เพื่อแสดงถึงการเกรงใจซึ่งเป็นนิสัยที่คนไทยส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว ต้องการคำตอบหรือการตกลงไม่ตกลงจากอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ประโยคคำถามที่ใช้มีดังนี้
- ถามแบบรูปประโยค Yes/No Question :
Shall we…………?
เรา………กันดีมั้ย
- ถามแบบรูปประโยค Wh- Questions :
Why don’t we………..?
เรา .. … กันมั้ย
How about……….?
…………….ดีมั้ย
- ถามแบบรูปประโยค Indirect Questions :
I wonder if we…
ฉันไม่ทราบว่า เรา………….มั้ย
ตัวอย่าง:
Why don’t we order some food?
สั่งอาหารกันดีกว่า
How about playing a computer game?
เล่นเกมคอมพิวเตอร์กันเถอะ
I wondered if we should hang out togheter?
เราออกไปเที่ยวกันดีหรือเปล่า
Shall we book a flight ticket?
เราจองตั๋วเครื่องบินกันดีมั้ย
Shall we go to the wedding?
เราควรไปงานแต่งกันหรือเปล่าHow about going to swim together?
ไปว่ายน้ำด้วยกันเถอะ
การตอบรับ (Accepting)
Yes!
ได้เลยSure!
แน่นอนOf course!
แน่นอน
That’s a good/ great idea/ What a good idea.
เป็นความคิดที่ดีมากๆThat’s interesting.
น่าสนใจดีCertainly/Absolutely/ Surely
อย่างแน่นอน
การตอบปฏิเสธ (Refusing)
Sorry, I can’t go.
ขอโทษด้วยนะ ฉันไปไม่ได้
Maybe next time.
ครั้งหน้าแล้วกันSorry, I already had a plan.
ขอโทษนะพอดีว่ามีแผนแล้วI’m afraid I won’t be able to come.
ดิฉันเกรงว่าคงจะไปไม่ได้นะคะSorry, I’d love to but I already had an appointment.
ขอโทษที ฉันก็อยากไปนะ แต่บังเอิญว่าดันฉันมีนัดแล้วอะI really don’t think I can go, and I must say sorry.
ฉันคิดว่าฉันคงจะไปไม่ได้จริงๆค่ะ ต้องขอโทษนะคะ
ครูหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักเรียนที่น่ารักทุกคนจะได้รับประโยชน์และความรู้จากการอ่านบทความนี้นะคะ ขอให้สนุกและมีความสุขกับการเรียนนะคะทุกคน
เลิฟๆ
อย่าลืมกดปุ่มเพลย์แล้วไปเรียนกันให้สนุกนะจ้ะ
Take care. ดูแลตัวเองดีๆด้วยน๊า