การบรรยายตนเอง + Present Simple

สารบัญ

Add LINE friends for one click to find article. Add LINE friends for one click to find article.

สวัสดีนักเรียนชั้นม.2 ที่น่ารักทุกคน วันนี้เราจะไปดูวิธีการบอกข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับตัวเราในภาษาอังกฤษกันค่ะ ได้แก่ การบรรยายตนเอง + Present Simple “
พร้อมทั้งตัวอย่างสถานการณ์ใกล้ตัวกันค่ะ ไปลุยกันเลย

 

ทบทวน Present Simple Tense

บรรยายตนเอง

 

 

ความหมาย:
Present แปลว่า ปัจจุบัน ดังนั้น Present Simple Tense
จึงเป็นประโยคที่มี โครงสร้างแบบง่าย ๆ ธรรมดา ที่พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน (Present) นั่นเองค่า
โดยมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

  • ใช้เพื่อพูดถึงความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน หรือความเป็นจริงตามธรรมชาติ เช่น

    When the earth moves around itself, it makes both of the Day and Night.

แปล เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง มันทำให้เกิดทั้งกลางวันและกลางคืน

 

  •  ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ นิสัย เช่น

    I eat rice every morning. หรือ I have rice every morning.

แปล ฉันกินข้าวทุกเช้า

 

รูปประโยคของ Present Simple Tense

บรรยายตนเอง

 

  1. ประโยคบอกเล่า

โครงสร้างของประโยคบอกเล่า :  Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)

ทั้งนี้คำกริยาช่องที่ 1 นั้นจะมีการเติม s หรือ es ถ้าหากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) แต่ถ้าประธานเป็น I, You หรือประธานพหูพจน์ (You (หลายคน), We, They) ให้คงรูปคำกริยานั้น ๆ ไว้เช่นเดิม เช่น

 

Jimmy goes to school everyday.

แปล จิมมี่ไปโรงเรียนทุกวัน

They enjoy walking their dog every evening.
แปล พวกเขาชื่นชอบการพาสุนัขไปเดินเล่นช่วงเย็นของทุกๆวัน

**ประโยคนี้ประธานคือ They เป็นพหูพจน์ กริยาคือ enjoy จึงไม่ต้องเติม s หรือ es ที่ท้ายกริยา

 

ข้อสังเกต : หลักการเติม s,es นั้นง่ายนิดเดียว คือ คำกริยาที่ลงท้ายด้วย sh, ch, o, s, ss, x, z ให้เติม es
เมื่อประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) เช่น

 

He washes his motorbike every week.
เขา (ผู้ชาย) ล้างรถมอเตอร์ไซค์ทุกอาทิตย์

จะเห็นว่า ประธานของประโยคคือ He ซึ่งเป็นเอกพจน์ คำกริยาคือ wash ที่ลงท้ายด้วย sh จึงต้องเติม es ต่อท้าย

 

  1. ประโยคคำถาม

โครงสร้างของประโยคคำถามใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคือ

 

  • แบบที่ 1 : Verb to be + Subject + Object/Complement + (คำบอกเวลา) ?  เช่น

 

ประโยคบอกเล่า: She is my best friend.
ประโยคคำถาม: Is she your best friend?
แปล หล่อนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอเหรอ

 

  • แบบที่ 2 : Verb to do + Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)?

 

ประโยคบอกเล่า:  We go dancing at the club every night.
Do we go dancing at the club every night?

ประโยคคำถาม:
แปล พวกเราไปเต้นที่คลับทุกคืนหรือเปล่า

 

 

 

  1. ประโยคปฏิเสธ (Negative sentence)

 

  • แบบที่ 1 : Subject + Verb to be + not + Object/Complement + (คำบอกเวลา)

Ex: I am not your girlfriend.
แปล ฉันไม่ใช่แฟนของคุณ

  • แบบที่ 2 : Subject + Verb to do (do, does)not + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)

Situation: Jenny is talking to Adam.

Jenny: I do not go to school.
แปล ฉันไม่ไปโรงเรียน (ไม่เรียนหนังสือ)
Adam: Why?
แปล ทำไมล่ะ
Jenny: I work at the convenient store because I don’t have any parents.
แปล ฉันทำงานที่ร้านขายของชำเพราะว่าฉันไม่มีพ่อแม่
Adam: Keep going.
แปล สู้ๆนะ

 

 

คำบอกเวลาใน Present Simple Tense

Adverbs of Frequency

บรรยายตนเอง

Always = สม่ำเสมอ, เป็นประจำ

Frequently = บ่อย ๆ

Often = บ่อย ๆ

Usually = โดยปกติ

Hardly = แทบจะไม่เคย

Never= ไม่เคย

Rarely = แทบจะไม่เคย

Seldom= นาน ๆ ครั้ง

Sometimes= บางครั้ง

การบรรยาย:ให้และขอข้อมูลส่วนตัว

(Giving and Asking for Personal Information)

 

ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal information)
การถามข้อมูลส่วนตัวจะต้องระบุจุดประสงค์และต้องดูสถานการณ์ที่เราใช้ด้วยนะคะ เพราะว่าในบางกรณีเรา
ไม่ควรถาม น้ำหนัก รอบอก หรือข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ เพราะว่ามันไม่สุภาพ (impoliteness)

 

 general info

คำถาม คำตอบ
How old are you?
= คุณอายุเท่าไร
I’m 12 years old.

=ผม/ฉัน อายุ 12 ขวบ

When is your birthday?

= คุณเกิดวันไหน

 

I was born on the 1st, January 1999.

= ผม/ฉันเกิดวันที่ 1 มกราคมปี 2542

How tall are you?

= คุณสูงเท่าไร

 

I’m 155 cm.
= ผม/ฉันสูง 155 ซม.
How much do you weigh?

= คุณหนักเท่าไร

ปล. ไม่ควรถามในชีวิตประจำวันเลยเพราะไม่สุภาพ

My weight is 40 kg.

= ฉัน/ผม หนัก 40 กก.

 

 

What’s your shoe size?

= รองเท้าคุณเบอร์ไหนคะ/ครับ

 

My shoe size is 9.

= ไซส์รองเท้าผม/ฉัน คือ 9

 

เพิ่มเติม:

ในประเทศสหรัฐอเมริกา (US) และประเทศอังกฤษ (UK) จะใช้ตัวเลขเดี่ยวๆบอกไซส์รองเท้า เช่น 8, 9
แต่ถ้าแถบประเทศยุโรปจะใช้ ตัวเลขสองหลักเช่น
41, 42

 

 บรรยายข้อมูลครอบครัว (Family information)

 

family giving and asking for general info

คำถาม คำตอบ
Do you have any siblings?
= คุณมีพี่น้องมั้ย
I don’t have any brothers or sisters.
= ผม/ฉันไม่มีพี่น้องเลย 
How many people in your family?

= ครอบครัวของคุณมีสมาชิกกี่คน

There are 7 people in my family.
ครอบครัวผมมี 7 คนด้วยกัน
Who do you live with?

= คุณอาศัยอยู่กับใคร

I live with my + สมาชิกในครอบครัว, เพื่อน

เช่น

I live with my mom. ฉันอาศัยอยู่กับแม่
I live with my roommate. ฉันอาศัยอยู่กับรูมเมท

What does your father do?
= คุณพ่อทำงานอะไร 
He works as a + อาชีพ.

ตัวอย่างอื่นๆ เช่น

I work as a writer.
ฉันทำงานเป็นนักเขียน

I work as an English teacher.

ฉันทำงานเป็นครูภาษาอังกฤษ

 

นักเรียนสามารถเอาคำศัพท์จากหมวดอาชีพมาลองฝึกแต่งประโยคเพื่อตอบข้อนี้ได้นะคะ หรือถ้าหากว่าไม่รู้จักคำศัพท์คำไหนก็สามารถโพสต์ถามด้านล่างได้เลยเด้อ

 

การบรรยายตนเองเกี่ยวกับอาชีพ (Occupation)

 

บรรยายตนเอง

 

 

ตารางคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาชีพ

คำศัพท์ แปล
engineer วิศวกร
actor นักแสดง
YouTuber นักยูทูบเบอร์
Gamer เกมเมอร์
air hostess, flight attendant พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
gardener คนสวน

 

photographer ช่างถ่ายรูป
pilot  นักบิน

 

singer

 

นักร้อง
soldier ทหาร

 

freelancer ฟรีแลนซ์/ ทำงานอิสระ

 

ตัวอย่างประโยคในการถามอาชีพเป็นภาษาอังกฤษที่ใช้ได้บ่อย

 

Questions (ถาม):

What do you do? หรือ What do you do for a living?  
= คุณทำงานอะไร

ตอบ:

I’m a teacher.  = ฉันเป็นครู

I’m an engineer. = ฉันเป็นวิศวกร
I’m a student. = ฉันเป็นนักเรียน
I’m a teacher. = ฉันเป็นครู

 

ตามโครงสร้าง: I am a + อาชีพ แต่ถ้าอาชีพขึ้นต้นด้วยสระ a, e, I, o จะเปลี่ยนจาก a เป็น an

 

ปล. ในสถาณกาณ์ที่เราว่างงานอย่าใช้  I have no job. นะคะ
ให้เปลี่ยนประโยคเป็น
I am waiting for a job. หรือ I am available now. แทนจะดูหรูกว่าเยอะเลยค่า

 

ตัวอย่างประโยคบอกสถานที่ทำงาน

Situation: Asking about work
ถาม: Where do you work?

= คุณทำงานที่ไหน

I work in a police station.

= ฉันทำงานในโรงพักแห่งหนึ่ง
หรือจะใช้  I work at the US embassy.

= ฉันทำงานที่สถานทูตอเมริกา (แต่ไม่ได้เจาะจงว่าทำงานตรงส่วนไหน)

 

บรรยายเกี่ยวกับสัญชาติ (Nationality)

 

Nationality: general info

 

นักเรียนทุกคนคะ โดยทั่วไปแล้วเราจะใช้คำคุณศัพท์บอกสัญชาติที่ลงท้ายด้วย -ese หรือ -ish ร่วมกับคำกิริยาพหูพจน์เพื่อบอกถึงผู้คนในสัญชาตินั้น ๆ คำคุณศัพท์ที่ถูกเขียนออกมานี้มักจะถูกนำมาใช้เพื่ออ้างถึงภาษาที่คนสัญชาตินั้น ๆ ใช้พูดด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถใช้ได้ทุกกรณีก็ตาม แต่มันก็เป็นสิ่งจำเป็นมากค่ะ

ศัพท์จำเป็น

Nationality (N.) สัญชาติ
Nation (N.) ประเทศ

ตัวอย่างเช่น

I work in Japan.
= ฉันทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น

He likes Japanese woman.
= เขาชอบผู้หญิงญี่ปุ่น

Miko is a Japanese person. Or She is from Japan.

ทั้งสองประโยคนี้บอกได้ว่ามิโกะเป็นคนญี่ปุ่น หรือ หล่อนมาจากประเทศญี่ปุ่น

We speak Japanese.
พวกเราพูดภาษาญี่ปุ่น

อธิบายเพิ่มเติม:

เราจะใช้คำคุณศัพท์ที่มีความหมายกลาง ๆ + “คน” หรือใช้คำว่า “คนจาก” + ชื่อประเทศ

 

 

 

อย่าลืมดูวีดีโอทบทวนบทเรียนในหัวข้อ “การบรรยายตนเอง + Present Simple”กันด้วยเด้อ เลิฟๆ

คลิกที่ปุ่มเพลย์แล้วไปเรียนให้สนุกกันจร้า

NockAcademy คือโรงเรียนออนไลน์สำหรับเด็ก โดยแอปฯ และเว็บไซต์ นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย
มากไปกว่านั้น เรายังมีคอร์สเรียนออนไลน์ การสอนพิเศษ การติวนอกสถานที่โดยติวเตอร์ที่แน่นไปด้วยความรู้ อีกด้วย

Add LINE friends for one click to find article. Add LINE friends for one click to find article.
ครูผู้สอน NockAcademy

แค่ 10 นาที ก็เข้าใจได้

สามารถดูคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่มีมากกว่า 2,000+ คลิป และยังสามารถทำแบบทดสอบที่มีมากกว่า 4000+ ข้อ

แนะนำ

แชร์

การบวก ลบ และคูณเมทริกซ์

การบวก ลบ และคูณเมทริกซ์

การบวก ลบ และคูณเมทริกซ์ การบวก ลบ และคูณเมทริกซ์ เราจะนำสมาชิกของเมทริกซ์แต่ละเมทริกซ์มาบวก ลบ คูณกัน ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้มีสมบัติและข้อยกเว้นต่างกันไป เช่น การบวกต้องเอาสมาชิกตำแหน่งเดียวกันมาบวกกัน เป็นต้น ต่อไปเราจะมาดูวิธีการบวก ลบ และคูณเมทริกซ์กันค่ะ การบวกเมทริกซ์ เมทริกซ์ที่จะนำมาบวกกันได้นั้น ต้องมีมิติเท่ากัน และการบวกจะนำสมาชิกตำแหน่งเดียวกันมาบวกกัน เช่น 1.)  2.)    การลบเมทริกซ์ การลบเมทริกซ์จะคล้ายๆกับการบวกเมทริกซ์เลย

Adjective Profile

คำคุณศัพท์ (Adjective)

สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นป.5 ที่น่ารักทุกคน วันนี้ครูจะพาไปเรียนรู้เรื่อง คำคุณศัพท์ หรือ Adjective ในภาษาอังกฤษกันค่ะ พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย   ความหมายของคำคุณศัพท์     คำคุณศัพท์หรือ Adjective มีตัวย่อคือ Adj.  ทำหน้าที่ขยายคำนามหรือสรรพนามที่อยู่ในประโยค คำนามหรือสรรพนาม ณ ที่นี้ ก็คือ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่

หลักการคูณทศนิยม พร้อมตัวอย่างที่เข้าใจง่าย

บทความนี้จะพาน้อง ๆมาทำความเข้าใจกับหลักการคูณทศนิยมในแต่ละรูปแบบ พร้อมทั้งอธิบายหลักการและยกตัวอย่างวิธีคิดในแต่ละรูปแบบของการคูณทศนิยม ให้น้อง ๆสามารถนำไปปรับใช้กับการหาคำตอบจากแบบฝึกหัดในห้องเรียนได้จริง

ฟังก์ชันจากเซตหนึ่งไปอีกเซตหนึ่ง

ฟังก์ชันจากเซตหนึ่งไปอีกเซตหนึ่ง ฟังก์ชันจากเซตหนึ่งไปอีกเซตหนึ่ง เป็นการส่งสมาชิกจากของเซตหนึ่งเรียกเซตนั้นว่าโดเมน ส่งไปให้สมาชิกอีกเซตหนึ่งเซตนั้นเรียกว่าเรนจ์ จากบทความก่อนหน้าเราได้พูดถึงฟังก์ชันและการส่งสมาชิกในเซตไปแล้วบางส่วน ในบทความนี้เราจะได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟังก์ชันจากเซตหนึ่งไปอีกเซตหนึ่งมากขึ้น จากที่เรารู้ว่าเซตของคู่อันดับเซตหนึ่งจะเป็นฟังก์ชันได้นั้น สมาชิกตัวหน้าต้องไปเหมือนกัน แต่ฟังก์ชันจากเซตหนึ่งไปอีกเซตหนึ่งเป็นการกำหนดขอบเขตให้ฟังก์ชันนั้นแคปลงกว่าเดิม เช่น {(1, a), (2, b), (3, a), (4, c)}  จากเซตของคู่อันดับเราสมารถตอบได้เลยว่าเป็นฟังก์ชัน เพราะสมาชิกตัวหน้าไม่เหมือนกัน แต่ฟังก์ชันจากเซตหนึ่งไปอีกเซตหนึ่ง คือการที่เรามีเซต 2 เซต แล้วเราส่งสมาชิกในเซตหนึ่งไปอีกเซตหนึ่ง

ศัพท์บัญญัติ

ศัพท์บัญญัติ เรียนรู้การยืมคำและบัญญัติขึ้นใหม่

น้อง ๆ หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับคำว่า ศัพท์บัญญัติ สักเท่าไหร่ บทเรียนวันนี้จะพาน้อง ๆ ไปทำความรู้จักกับศัพท์บัญญัติที่ว่านั่นกันค่ะว่าคืออะไร มีที่มาและมีหลักเกณฑ์ในการสร้างอย่างไรบ้าง ถ้าน้อง ๆ พร้อมที่จะเรียนรู้กันแล้ว ก็ไปศึกษาเรื่องนี้พร้อมกันเลยค่ะ   การบัญญัติศัพท์คืออะไร     การบัญญัติศัพท์ คือการกำหนดคำศัพท์จากภาษาต่างประเทศขึ้นมาใหม่ในภาษาไทย เพื่อใช้สื่อความหมายบางอย่างโดยเฉพาะในศาสตร์แขนงใดแขนงหนึ่ง หรือเพื่อใช้ในการเขียนเอกสารของงานราชการ ตามเจตนาของผู้บัญญัติ ซึ่งคำศัพท์ที่เกิดจากวิธีการเช่นนี้จะเรียกว่า ศัพท์บัญญัติ โดยทั่วแล้วศัพท์บัญญัติมักจะมาจากภาษาอังกฤษ

การสร้างตารางค่าความจริง

บทความนี้เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างตารางค่าความจริงของประพจน์ เป็นเนื้อหาที่ไม่ยากมากหลังจากน้องๆได้อ่านบทความนี้แล้ว น้องๆจะสามารถสร้างตารางค่าความจริงได้ สามารถบอกได้ว่าประพจน์แต่ละประพจน์เป็นจริงได้กี่กรณีและเป็นเท็จได้กี่กรณี และจะทำให้น้องเรียนเนื้อหาเรื่องต่อไปได้ง่ายยิ่งขึ้น

โลโก้ NockAcademy

ทดลองฟรี!

เข้าใจได้ทันที NockAcademy ไลฟ์สดอันดับ 1 

โลโก้ NockAcademy

ทดลองฟรี!

เข้าใจได้ทันที NockAcademy ไลฟ์สดอันดับ 1