เสียงสระในภาษาไทย

สารบัญ

Add LINE friends for one click to find article. Add LINE friends for one click to find article.

เสียงในภาษาไทยมีทั้งหมด 3  เสียงคือพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ จากที่เราได้ทำความเข้าใจในเรื่องเสียงพยัญชนะกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาเรียนรู้อีกเสียงหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องเสียงสระนั่นเองค่ะ เสียงสระจะมีกี่ชนิด แบ่งเป็นชนิดใดบ้าง ไปเรียนรู้เรื่องนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ

 

 

เสียงสระ

เสียงสระเป็นเสียงที่เกิดจากลมภายในปอด เปล่งออกมาโดยใช้การเคลื่อนไหวของลิ้นและริมฝีปาก เสียงที่ได้จะแบ่งออกได้ดังนี้ค่ะ

สระเดี่ยว

สระเดี่ยวหรือสระแท้ มีทั้งหมด 18 เสียง เสียงสั้นและเสียงยาวจับกันได้ 9 คู่

การออกเสียงสระเดี่ยว

การออกเสียงสระเดี่ยวแบ่งได้ตามตำแหน่งของลิ้นในการออกเสียง และรูปของริมฝีปาก

  1. การออกเสียงสระหน้า ลิ้นอยู่ในตำแหน่งหน้า ริมฝีปากรี สระในกลุ่มนี้ได้แก่ สระอิ สระอี สระเอะ สระเอ สระแอะ และ สระแอ
  2. การออกเสียงสระกลาง ลิ้นจะอยู่ในตำแหน่งหลังค่อยไปทางกลาง ริมฝีปากรี สระในกลุ่มนี้ได้แก่ สระอึ สระอือ สระเออะ สระเออ สระอะ และ สระอา
  3. การออกเสียงสระหลัง ลิ้นจะอยู่ในตำแหน่งหลัง ริมฝีปากห่อ สระในกลุ่มนี้ได้แก่ สระอุ สระอู สระโอะ สระโอ สระเอาะ และ สระออ

สระประสมหรือสระเลื่อน

คือสระที่ประสมระหว่างหนึ่งกับอีกสระหนึ่งเพื่อให้เป็นเสียงใหม่ มีทั้งหมด 3 เสียง ได้แก่

เอีย  เกิดจาก สระอี + สระอา

เอือ เกิดจาก สระอือ + สระอา

อัว เกิดจาก สระอู + สระอา

ทริคการจำ

 

สระประสม เอีย เอือ อัว ทั้งหมดเป็นสระเสียงยาว ส่วนถ้าเป็นสระเสียงสั้นอย่าง

สระเอียะ  เกิดจาก สระอิ+สระอะ

สระเอือะ เกิดจาก สระอึ+สระอะ

สระอัวะ เกิดจาก สระอุ + สระอะ

คำที่มีสระเหล่านี้ในภาษาไทยมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นคำที่ไม่มีความหมาย ใช้สำหรับการเลียนเสียงบางอย่างเท่านั้น ถ้าเปลี่ยนให้เป็นเสียงยาวความหมายก็ไม่ต่างกัน ทำให้สระประสมเสียงสั้นถูกนับรวมให้เป็นพวกเดียวกับสระประสมเสียงยาวนั่นเองค่ะ

 

ข้อสังเกต

  • การดูสระต้องดูจากเสียง ไม่ดูจากรูป
  • อำ ใอ ไอ นับเป็นสระอะที่มีพยัญชนะร่วมด้วย

 

การแบ่งเสียงสระในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันอย่างไร

 

เนื่องจากปัจจุบันมีการปรับปรุงตำราและใช้หลักเกณฑ์ใหม่ในการแบ่ง เพื่อไม่ให้สับสน เรามาดูข้อเปรียบเทียบระหว่างการแบ่งเสียงสระแบบเก่ากับแบบใหม่กันดีกว่าค่ะ

1. การแบ่งเสียงสระแบบเก่า จะแบ่งออกเป็น 32 เสียง มีสระเดี่ยว 24 เสียงและสระเกิน 8 แต่ในปัจจุบันเราตัดสระเกินออกแล้วแบ่งเป็นสระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 3 เสียง รวมกันเป็น 21 เสียง

2. แบบเดิมจะนับสระเสียงสั้นกับเสียงยาวว่ามี 24 แบ่งเป็น 12 คู่ แต่แบบใหม่จะนับเป็น 18 เสียง 9 คู่ โดยแยกสระเอีย สระเอือ สระอัวออกมาให้เป็นสระประสมแต่ไม่แยกเสียงสระสั้นเป็นคู่เหมือนสระเดี่ยว ทำให้สระประสมมี 3 เสียงคือ สระเอีย สระเอือ และสระอัว

3. การแบ่งเสียงแบบเดิมจะนับสระเกินเข้าไปด้วย แต่ในปัจจุบันสระเกินถูกนับเป็นพยางค์ที่มาจากการรวมกันของสระกับตัวสะกด แต่ยังมียัง 8 เสียงเหมือนเดิมคือ อำ ไอ ใอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦา

 

แม้จำนวนสระจะดูเหมือนเยอะจนอาจทำให้น้อง ๆ หลายคนสับสน แต่ถ้าลองศึกษาดูแล้วจะรู้ว่ามีวิธีจำที่ไม่ยากเลยค่ะ แต่ถ้าน้อง ๆ คนไหนยังไม่เข้าใจเรื่องเสียงสระมากพอ อยากจะเห็นตัวอย่างมากกว่านี้เผื่อว่าไปเจอในข้อสอบ ก็ตามไปดูคลิปการสอนย้อนหลังของครูอุ้มได้เลยค่ะ ในคลิปจะมีการยกตัวอย่างเพิ่มเติมและอธิบายไว้อย่างละเอียดเพื่อให้น้อง ๆ สามารถเข้าใจโจทย์เวลาลงสนามจริงได้ ไปดูกันเลยค่ะ

 

NockAcademy คือโรงเรียนออนไลน์สำหรับเด็ก โดยแอปฯ และเว็บไซต์ นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย
มากไปกว่านั้น เรายังมีคอร์สเรียนออนไลน์ การสอนพิเศษ การติวนอกสถานที่โดยติวเตอร์ที่แน่นไปด้วยความรู้ อีกด้วย

Add LINE friends for one click to find article. Add LINE friends for one click to find article.
ครูผู้สอน NockAcademy

แค่ 10 นาที ก็เข้าใจได้

สามารถดูคลิปบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่มีมากกว่า 2,000+ คลิป และยังสามารถทำแบบทดสอบที่มีมากกว่า 4000+ ข้อ

แนะนำ

แชร์

การเขียนประกาศ เขียนเชิงกิจธุระได้อย่างไรบ้าง?

การเขียนเชิงกิจธุระหมายถึงหน้าที่ที่พึงกระทำ การเขียนเชิงกิจธุระมีมากมายหลายแบบ บทเรียนในวันนี้จะพาน้อง ๆ ไปเรียนรู้ การเขียนประกาศ ซึ่งเป็นการเขียนเชิงกิจธุระรูปแบบหนึ่ง เราไปดูพร้อมกันเลยค่ะว่าการเขียนประเภทนี้จะมีวิธีการอย่างไรบ้าง   การเขียนเชิงกิจธุระ   การเขียนประกาศ   ประกาศ เป็นการสื่อสารที่ใช้เผยแพร่โดยกว้าง ให้บุคคลทุกระดับในหน่วยงานหรือบุคคลภายนอกได้อ่านและมีความเข้าใจที่ตรงกัน โดยอาศัยสื่อสาธารณะชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นการแจ้งให้ทราบและปฏิบัติตาม อย่างเช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ป้ายประกาศต่าง ๆ การใช้ภาษาในการประกาศนั้นจะไม่ใช้ข้อความยาว ๆ

จำนวนจริงในรูปกรณฑ์ และเลขยกกำลัง

จำนวนจริงในรูปกรณฑ์ จำนวนจริงในรูปกรณฑ์ หรือราก เขียนแทนด้วย อ่านว่า รากที่ n ของ x หรือ กรณฑ์ที่ n ของ x เราจะบอกว่า จำนวนจริง a เป็นรากที่ n ของ x ก็ต่อเมื่อ เช่น 2 เป็นรากที่

การชักชวน และแนะนำในภาษาอังกฤษ

วิธีการพูดเสนอแนะ ชักชวน และแนะนำในภาษาอังกฤษ

  สวัสดีค่ะนักเรียน ม.1 ที่น่ารักทุกคน วันนี้ครูจะพาไปดูวิธีการพูดให้ข้อเสนอแนะ ชักชวน และแนะนำกันค่ะซึ่งในการเสนอแนะ หรือชักชวนนั้น ผู้พูดจะแสดงความคิดเห็นเสนอแนะ เพื่อให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยกัน มีการใช้ภาษาหลายระดับ และใช้รูปประโยคหลายชนิด เช่นเดียวกับการพูดในความหมายต่างๆ ที่ผ่านมาเราจึงต้องใช้รูปประโยคต่างๆ เช่นประโยคบอกเล่า คำสั่ง ชักชวน เพื่อให้ผู้ฟังทำตาม รวมถึงเทคนิคการตอบรับและปฏิเสธ ดังในตัวอย่างรูปแบบประโยคด้านล่างนะคะ   1. ประโยคบอกเล่า (Statement)  

สังข์ทอง จากนิทานชาดกสู่วรรณคดีไทยอันเลื่องชื่อ

สังข์ทอง เป็นวรรณคดีที่แพร่หลายและโด่งดังอย่างมากในสังคมไทย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปี ความนิยมของวรรณคดีเรื่องดังกล่าวนี้ก็ยังไม่เสื่อมคลาย ดูได้จากการที่ถูกผลิตซ้ำตั้งแต่เป็นกลอนบทละครจนถึงละครโทรทัศน์ ที่น้อง ๆ หลายคนก็คงจะเดินเห็นผ่านตากันมาแล้วบ้าง บทเรียนในวันนี้จะพาน้อง ๆ ไปเรียนรู้ถึงความเป็นมาของวรรณคดีเรื่องนี้ พร้อมเรื่องย่อหนึ่งตอนสำคัญที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดอย่างตอน กำเนิดพระสังข์ กันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วเราไปเรียนรู้เรื่องนี้พร้อม ๆ กันเลยนะคะ   สังข์ทอง ความเป็นมา     สังข์ทอง มีที่มาจาก สุวรรณสังขชาดก

ม.3 สำนวนการเสนอ การขออนุญาต และขอความช่วยเหลือ

สำนวนการเสนอ การขออนุญาต และขอความช่วยเหลือ

สวัสดีค่ะนักเรียนชั้นม. 3 ที่น่ารักทุกคน วันนี้ครูจะพาไปตะลุย “สำนวนการเสนอ การขออนุญาต และขอความช่วยเหลือ พร้อมทั้งเทคนิคการพูดตอบรับและปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยจร้า สำนวนการเสนอ   ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ล้วนจะต้องเจอกลุ่มประโยคคำถามในเชิงชักชวน และการเสนอแนะที่ใช้เป็นรูปแบบคำถามนั้นถือเป็นการเสนอแนะชักชวนทางอ้อม ถ้าเทียบกับนิสัยคนไทยแล้ว ก็เพื่อแสดงถึงความเกรงใจ ไม่พูดมาตรงๆ เพื่อจุดประสงคืบางอย่าง ซึ่งเป็นนิสัยที่คนไทยส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว ในภาษาอังกฤษการใช้ภาษาเหล่านี้จะทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติและคล่องมากขึ้น โดยที่บางครั้งผู้ถามนั้นหว่านล้อมผู้ฟังด้วยการ ชวนให้ทำ หรือแนะนำให้ทำนั่นเอง ประโยคคำถามที่ใช้มีดังนี้  

สมบัติการคูณจำนวนจริง

การให้เหตุผลแบบอุปนัย

การให้เหตุผลแบบอุปนัย การให้เหตุผลแบบอุปนัย คือ การนำประสบการณ์มาสรุปผล เช่น เราไปซื้อผลไม้แล้วเราชิมผลไม้ 2-3 ลูก ปรากฏว่า มีรสหวาน เราเลยสรุปว่าผลไม้ทั้งกองนั้นหวาน เป็นต้น ซึ่งการสรุปผลอาจจะเป็นจริงหรือเท็จก็ได้ อาจจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้สรุป ดังนั้น ผลสรุปไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น เหตุ เมื่อวานแป้งตั้งใจเรียน วันนี้แป้งตั้วใจเรียน ผลสรุป  พรุ่งนี้แป้งจะตั้งใจเรียน การให้เหตุผลแบบนี้ เหมือนเป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งการคาดคะเนนี้อาจจะจริงหรือเท็จก็ได้

โลโก้ NockAcademy

ทดลองฟรี!

เข้าใจได้ทันที NockAcademy ไลฟ์สดอันดับ 1 

โลโก้ NockAcademy

ทดลองฟรี!

เข้าใจได้ทันที NockAcademy ไลฟ์สดอันดับ 1